บีซีพีจีตั้งงบลงทุนปี 65 อยู่ที่ 27,000-44,000 ล้านบาท ใช้ในการขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ในต่างประเทศโดยเฉพาะไต้หวัน เน้น M&A และส่วนหนึ่งเป็นงบลงทุนที่ยกยอดมาจากปีนี้ที่ใช้งบลงทุนพลาดเป้า ตั้งเป้า EBITDA ปี 65 โต 40-50% แย้มอัดงบลุยธุรกิจ New S-Curve ราว 9,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า
นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชีและยุทธศาสตร์องค์กร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า งบลงทุนบริษัทในปี 2565 จะอยู่ที่ 27,000-44,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ในต่างประเทศโดยเฉพาะไต้หวัน ซึ่งงบลงทุนที่เพิ่มขึ้นสูงนั้นส่วนหนึ่งเป็นงบลงทุนที่ยกยอดมาจากปี 2564 ที่ได้ตั้งไว้ 18,000 ล้านบาท แต่ใช้จริงอยู่แค่ 6,000 ล้านบาท แต่จะทยอยใช้เงินต่อเนื่องในปี 2565
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) ในปีหน้าเติบโตขึ้น 30-50% จากโครงการโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเชิงพาณิชย์เต็มปีคือโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ และมีโรงไฟฟ้าที่จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2565 รวมกว่า 49 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โคมากาเนะ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และ 20 เมกะวัตต์ ที่จะจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็จะเปิดดำเนินการได้เต็มโครงการที่กำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2565 รวมทั้งโครงการใหม่จากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เข้ามาเสริมช่วยชดเชย Adder โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในไทยที่เริ่มทยอยหมดลงในปี 2565-2567
ในการรุกตลาดพลังงานหมุนเวียนในไต้หวัน บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัท บีซีพีจี ฟอร์โมซ่า จำกัด (BCPG Formosa Co., Ltd.) เพื่อลงทุนพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 82 ล้านเหรียญไต้หวัน BCPG ถือหุ้นทั้ง100% และกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวันไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์ภายใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการรวม 170 เมกะวัตต์ คาดว่าจะจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ครึ่งแรกปี 2566-ปี 2567 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมที่ดินก่อนดำเนินการก่อสร้าง รวมทั้งอยู่ระหว่างการเจรจา M&A โครงการใหม่เพิ่มเติม คาดว่าภายใน 6 เดือนข้างหน้าจะมีความชัดเจนขึ้น
ทั้งนี้ ไต้หวันมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดสูง เนื่องจากรัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยมีการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 13,000 เมกะวัตต์ (MW) ภายใน 5 ปี ดังนั้น การขยายการลงทุนไปยังไต้หวันในครั้งนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสสำหรับการลงทุนใหม่ๆ ของบริษัท
สำหรับงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) บริษัทตั้งงบไว้ที่ 65,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ลงทุนโครงการใหม่ โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และธุรกิจใหม่ (New S-Curve) พร้อมกับตั้งเป้าหมายพอร์ตโฟลิโอมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 150% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,161 ล้านหน่วยต่อปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 5,400 ล้านหน่วยต่อปีในปี 2569
นอกจากนี้ บริษัทขยายการลงทุนในเทคโนโลยีเน้นพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่, ดิจิทัล เอนเนอร์ยี และ New S-Curve เช่น ธุรกิจคาร์บอน, การบริหารจัดการพลังงานอาคาร, Power&Gas District Cooling, Waste to Energy, Water Solution, EV Charging และ Smart City Planning โดยวางงบลงทุนใน New S Curve วงเงิน 9,000 ล้านบาทในปี 2569
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่ COD แล้ว 503.1 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการอีก 470.9 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังผลิต 974 เมกะวัตต์ ครอบคลุมใน 6 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ในการรุกตลาดพลังงานหมุนเวียนในไต้หวัน บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัท บีซีพีจี ฟอร์โมซ่า จำกัด (BCPG Formosa Co., Ltd.) เพื่อลงทุนพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 82 ล้านเหรียญไต้หวัน BCPG ถือหุ้นทั้ง 100% และกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวันไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์ภายใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการรวม 170 เมกะวัตต์ คาดว่าจะจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ครึ่งแรกปี 2566-ปี 2567 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมที่ดินก่อนดำเนินการก่อสร้าง รวมทั้งอยู่ระหว่างการเจรจา M&A โครงการใหม่เพิ่มเติม คาดว่าภายใน 6 เดือนข้างหน้าจะมีความชัดเจนขึ้น
ทั้งนี้ ไต้หวันมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดสูง เนื่องจากรัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยมีการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 13,000 เมกะวัตต์ (MW) ภายใน 5 ปี ดังนั้น การขยายการลงทุนไปยังไต้หวันในครั้งนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสสำหรับการลงทุนใหม่ๆ ของบริษัท
สำหรับงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) บริษัทตั้งงบไว้ที่ 65,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ลงทุนโครงการใหม่ โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และธุรกิจใหม่ (New S-Curve) พร้อมกับตั้งเป้าหมายพอร์ตโฟลิโอมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 150% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,161 ล้านหน่วยต่อปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 5,400 ล้านหน่วยต่อปีในปี 2569
นอกจากนี้ บริษัทขยายการลงทุนในเทคโนโลยีเน้นพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่, ดิจิทัล เอนเนอร์ยี และ New S-Curve เช่น ธุรกิจคาร์บอน, การบริหารจัดการพลังงานอาคาร, Power&Gas District Cooling, Waste to Energy,Water Solution, EV Charging และ Smart City Planning โดยวางงบลงทุนใน New S Curve วงเงิน 9,000 ล้านบาทในปี 2569
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่ COD แล้ว 503.1 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการอีก 470.9 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังผลิต 974 เมกะวัตต์ ครอบคลุมใน 6 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม