รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการขับเคลื่อน BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่า GDP ของ BCG จาก 21% เป็น 24% ภายใน 5 ปี หรือเพิ่มจาก 3.4 ล้านล้านบาท ในปี 2563 เป็น 4.4 ล้านล้านบาท ในปี 2568 โดยมีสินค้าและบริการในกลุ่ม BCG ที่อยู่ในเป้าหมายผลักดัน ได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ผลจากการผลักดัน BCG เป็นวาระแห่งชาติ ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินนโยบายขับเคลื่อน BCG ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG การส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้า BCG และยังมีมาตรการในการขับเคลื่อน BCG โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แม้กระทั่งภาคเอกชน ต่างก็หันมาให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อน BCG กันเพิ่มมากขึ้น
BCG คืออะไร
ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น เรามาทำความรู้จัก BCG กันก่อน โดย BCG เป็นตัวย่อของ Bio , Circular และ Green ถือเป็นเศรษฐกิจแนวใหม่ ที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญ หรือเป็นเมกะเทรนด์สำคัญของโลก ที่ไม่ว่าภาครัฐและเอกชนในโลกนี้ ต่างให้ความสำคัญ เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การปกป้องสิ่งแวดล้อม การลดปัญหาโลกร้อน ที่กำลังเป็นตัวบั่นทอนทรัพยากรโลก
สำหรับ B คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) เป็นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า ควบคู่กับการรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการให้มีนวัตกรรมและมีมูลค่าสูง
C คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นเศรษฐกิจที่เน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ใน 3 เรื่องหลัก คือ การใช้งานผลิตภัณฑ์เต็มวงจร (Reuse, Refurbish, Sharing) การแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Upcycle) และการออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด (Zero-Waste)
G คือ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นเศรษฐกิจมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของ BCG
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สรุปไว้ว่า BCG Economy Model จะช่วยก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในหลายมิติ และหลายด้าน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ด้านเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถ้านำแนวคิดเรื่อง BCG มาใช้ จะทำให้คนตกงาน เริ่มหันกลับมาสนใจการทำงานในภาคการเกษตร ช่วยลดภาวะการว่างงาน และทำให้เกิดความก้าวหน้าด้านเกษตรอาหาร
ด้านความมั่นคงทางด้านอาหาร ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหารในระดับที่ดี ในแง่ของการผลิต ไทยผลิตอาหารได้เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ผลิตอาหารประเภทส่วนเกิน คือ กลุ่มอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง น้ำตาล ในจำนวนมาก ขณะที่อาหารประเภทโปรตีน กลับผลิตได้ไม่เพียงพอ จึงต้องพยายามปรับให้การผลิตอาหารประเภทส่วนเกินมาเป็นโปรตีน เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศ ด้วยการนำแนวทาง BCG เข้าไปช่วย และทำให้กลุ่มคนทุกระดับ ได้รับสารอาหาร และสามารถเข้าถึงอาหารได้ เกิดความมั่นคงด้านอาหาร
ด้านพลังงาน ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพาแก๊สธรรมชาติมาก ใช้ในการผลิตไฟฟ้า 60% และมีแนวโน้มว่าจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากในอนาคต BCG จะเข้ามาช่วยให้ไทยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน จากเดิม 16.5% ในปี 2562 เพิ่มเป็น 20%
ด้านสุขภาพ ในแต่ละปีประเทศไทยนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มยา และเวชภัณฑ์ ในปัจจุบันทางด้านการวิจัยและนวัตกรรมกำลังศึกษาเรื่องการผลิตยา เช่น ยารักษาโรคสะเก็ดเงิน ยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง ยารักษาโรคมะเร็ง เพื่อลดการนำเข้ายาในอนาคต เช่นเดียวกับวัคซีนที่อยู่ในขั้นการทดลอง เพื่อนำมาใช้จริง
ด้านความยั่งยืน เรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ คาดหวังว่าเมื่อทำ BCG ได้แล้ว จะสามารถลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติลงไป อีกทั้งยังสามารถลดมลพิษ เช่น PM 2.5 ขยะ น้ำเสีย การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ดูแลสัตว์สูญพันธุ์
ด้านการท่องเที่ยว ในรูปแบบเดิมอาจทำให้ธรรมชาติสึกหรอ แต่เมื่อมีการวางแผนการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการดูแลธรรมชาติ จะทำให้รูปแบบการท่องเที่ยวเกิดความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
หนุนปรับตัวรับเมกะเทรนด์โลก
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า BCG ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของไทยรัฐบาลกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปส่งเสริมและผลักดัน เพื่อร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อม ปกป้องโลกจากปัญหาโลกร้อน และในต่างประเทศ ก็พบว่าทุกประเทศต่างให้ความสำคัญกับ BCG และสนับสนุน BCG ด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ในส่วนของกรมฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้เพิ่มความสำคัญ และให้สนับสนุนเศรษฐกิจ BCG อย่างเข้มข้น ซึ่งกรมฯ ได้รับนโยบายและกำหนดให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การทำงานสำหรับปี 2565 เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ เป็นเมกะเทรนด์ของโลก ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ การปกป้องสิ่งแวดล้อม ถ้าไทยช้า หรือไม่ทันการ ก็จะตกขบวนได้
เปิด 5 สินค้า BCG ที่ต้องการผลักดัน
นายภูสิตกล่าวว่า ในการขับเคลื่อนสินค้า BCG กรมฯ มีเป้าหมายเบื้องต้นที่จะเข้าไปส่งเสริมและผลักดันจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ อาหารแห่งอนาคต อาหารสัตว์เลี้ยง บรรจุภัณฑ์ ไลฟ์สไตล์ และเครื่องสำอางและสมุนไพร เพราะเป็นกลุ่มที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตและการส่งออก และที่ผ่านมา ได้มีการนำ BCG มาใช้ในกระบวนการผลิตอยู่แล้ว สามารถที่จะต่อยอดผลักดันให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น และผลักดันส่งออกไปขายต่างประเทศ เพื่อนำรายได้เข้าประเทศได้เร็วขึ้น
นำร่องเปิดตัวฮีโร่ BCG
นายภูสิตกล่าวว่า เพื่อให้เห็นว่า กรมฯ จริงจัง และพร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการโดยใช้หลักการ BCG กรมฯ ได้ทำงานเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ขณะนี้ได้มีการคัดเลือกผู้ประกอบการเป็นฮีโร่ BCG (BCG Heroes) นำร่องจำนวน 50 ราย คัดเลือกจากกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ และตั้งเป้าปี 2565 จะผลักดันเพิ่มเป็น 500 ราย ซึ่งจะมีผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าใหม่ ๆ จากกลุ่มเป้าหมายเข้ามาเพิ่ม
เมื่อนำร่องเปิดตัวฮีโร่ BCG แล้ว กรมฯ ได้เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ โดยได้จัดทำ e-Catalogue เพื่อเล่าเรื่องราวของผู้ประกอบการ ตัวสินค้า เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรายอื่นได้นำไปใช้ และใช้เป็นแคตาลอกให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ 58 แห่ง ได้นำไปเสนอให้กับลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าในยุโรป สหรัฐฯ ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thaigroove.com/bcgheroes)
นอกจากนี้ ยังได้ช่วยทำตลาด โดยจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ ให้ทูตพาณิชย์เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้ามาเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการของไทย นำเข้าร่วมงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ และในปี 2565 มีแผนที่จะบุกเจาะตลาดอย่างหนัก โดยเฉพาะประเทศที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม หรือเป็นเวทีที่มีการหยิบยกประเด็นสิ่งแวดล้อมขึ้นมาหารือ เช่น ตลาดยุโรป เน้นสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ ตลาดออสเตรเลีย และตลาดเกาหลี เป็นต้น
กิจกรรมช่วยขับเคลื่อน BCG
สำหรับรายละเอียดกิจกรรมที่จะดำเนินการ ได้แก่ เดือน ก.พ.2565 BCG เจาะตลาดเกาหลี ตอกย้ำความเชื่อมั่นสินค้า Eco Thai ที่ได้เริ่มเข้าไปบุกตั้งแต่ปี 2563 อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากตลาดดี และผู้บริโภคเกาหลีเองต้องปรับตัวจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่รัฐบาลกำหนดเพิ่มขึ้น , เม.ย.2565 BCG เจาะตลาดอิตาลี ในงาน Milan Design Week , พ.ค.2565 BCG ในเวที APEC นำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของผู้ประกอบการและนโยบายการส่งเสริมของกระทรวงพาณิชย์ในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC , ก.ค.2565 BCG เจาะตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สร้างภาพลักษณ์ทางการค้าที่ดีของไทยและประชาสัมพันธ์เผยแพร่สินค้าช่วยลดโลกร้อนของไทยให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และส.ค.-ก.ย.2565 BCG เจาะตลาดยุโรป (อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์) เปิดตัวสินค้า BCG ของไทยในเวทีงานแสดงสินค้าที่เน้นแนวคิดด้าน “รักษ์โลก”
ขณะเดียวกัน ได้เตรียมจัดทำแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้า BCG ใน Thaitrade.com เพื่อแนะนำสินค้าและเปิดโอกาสจำหน่ายออกสู่ต่างประเทศทางออนไลน์ และยังจะนำแคตาลอกไปไว้ในหน้าร้าน TOPTHAI Store ที่ปัจจุบันมีเปิดใน Tmall.com และ Tmall Global ของจีน , Bigbasket.com ของอินเดีย, Amazon.com ของสิงคโปร์และสหรัฐฯ , Klangthai.com ของกัมพูชา และ Blibli.com ของอินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายอีกทางหนึ่ง
ทางด้านการประชาสัมพันธ์สินค้า BCG จะจัดทำแคมเปญ BCG : Be the ChanGe เป็นการเล่นคำว่า BCG เชิญชวนให้ทุกคนหันมาเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ดีกว่า ไม่ฝากความหวังไว้กับใคร แต่เริ่มได้ที่ตัวคุณ โดยมีเป้าหมายที่จะสื่อสารกระตุ้นการมีส่วนร่วมทั้งในประเทศ และเผยแพร่ไปในต่างประเทศผ่านทูตพาณิชย์ ตลอดจนองค์กรพันธมิตรต่าง ๆ ของกรมฯ
เปิดแผนทำงานปี 65 ดัน BCG
นายภูสิตกล่าวว่า สำหรับแผนการสนันสนุน BCG ในปี 2565 จะเน้นการร่วมมือกับหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ ผลักดันให้ผู้ประกอบการเป็นผู้ประกอบการ BCG เพิ่มขึ้น โดยจะมีกิจกรรมที่จะนำมาช่วยสนับสนุนเป็นจำนวนมาก ทั้งการพัฒนาคน พัฒนาสินค้า การช่วยประชาสัมพันธ์สินค้า BCG และการส่งเสริมการขายสินค้า BCG ผ่านทางออนไลน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งพาผู้ประกอบการ BCG เข้าร่วมงานแสดงสินค้า เพื่อแนะนำสินค้าและเปิดตัวสู่ตลาดโลกด้วย
“กรมฯ จะเป็นฟันเฟืองหนึ่งของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ไปสู่เป้าหมาย เพราะเรื่องนี้เป็นเมกะเทรนด์ของโลก ถ้าพลาด ไทยจะเสียโอกาส แต่ถ้าไทยเกาะกระแสได้ เกาะติดใกล้ชิด ก็จะทำให้สินค้าและบริการ BCG ของไทย เป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับ และทำรายได้เข้าประเทศได้มากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นตามเป้าที่วาดฝันเอาไว้”นายภูสิตกล่าว