“พลังงานบริสุทธิ์” ตั้งเป้าปี 65 โตต่อเนื่อง มาจากธุรกิจแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน เผยได้ฤกษ์เปิดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนอย่างเป็นทางการ 12 ธันวาคมนี้ มีกำลังผลิต 1 GWh ก่อนขยายเป็น 4 GWh ใน 2-3 ปีข้างหน้า เบื้องต้นป้อนให้บริษัทในเครือฯืก่อน
นายวสุ กลมเกลี้ยง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนากลยุทธ์และวางแผนการลงทุน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ โดยจะเป็นปีที่เก็บเกี่ยวผลจากสิ่งที่ได้ลงทุนไปในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบตเตอรี่, รถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และพลังงานหมุนเวียน ที่ได้มีการเปลี่ยนแผงโซลาร์เซลล์ของโรงไฟฟ้าที่ จ.นครสวรรค์ และ จ.ลำปางในไตรมาส 4 นี้ต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้าจึงจะแล้วเสร็จ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า
ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักและเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทขณะนี้ก่อสร้างเสร็จแล้ว คาดว่าไตรมาส 1-2 ปีหน้าจะเริ่มผลิตรถโดยสารไฟฟ้าออกสู่ตลาดได้ และระยะถัดไปจะเป็นการผลิตรถบรรทุกไฟฟ้า ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนารูปแบบใหม่ให้ทันสมัย หลังจากเคยเปิดตัวรถก่อนหน้านี้แล้ว
นายวสุกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย คือบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ATT) ระยะที่ 1 ขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ต่อปี ว่า โรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ธ.ค. 64 เบื้องต้นเน้นผลิตและจำหน่ายให้บริษัทในเครือ EA ก่อน ไม่ว่าจะเป็น E-Bus, E-Truck, E-Ferry เป็นต้น เพื่อพิสูจน์ให้ตลาดยอมรับ หลังจากนั้นจะขายให้กับค่ายรถอีวีอื่นๆ รวมถึงส่งออก โดยโรงงานแบตเตอรี่ดังกล่าวสามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 4 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) คาดว่าไม่เกิน 2-3 ปีจะดำเนินการขยายได้ตามเป้าหมาย
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทมั่นใจรายได้เติบโตตามเป้า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 17,196 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนของปีนี้มีรายได้แล้ว 14,819.95 ล้านบาท เติบโตขึ้น 16% และมีกำไรสุทธิ 4,218.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 498.28 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.39% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,720.48 ล้านบาท โดยภาพรวมธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) จากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ทั้งในส่วนของโซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์ม ขนาดกำลังการผลิตรวม 664 เมกะวัตต์ และจากธุรกิจแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็น New S-Curve ที่จะทยอยส่งมอบรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้แก่ลูกค้า โดยในส่วนของโรงงานผลิตรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าในจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังเสร็จครบทั้งหมดจะมีกำลังการผลิตรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 3,000 คันต่อปี
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเตรียมออกมาตรการสนับสนุนใช้รถ EV ทั้งในส่วนของประชาชนทั่วไป และส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐเปลี่ยนมาใช้รถ EV เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจใหม่ของกลุ่ม EA เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ จากการขายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับภาคเอกชน และเจาะตลาดหน่วยงานภาครัฐ