SPRC แจงกำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 112.84 ล้านบาท ลดลง 57.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุค่าเงินบาทอ่อนค่าและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ส่วนงวด 9 เดือนกำไรพุ่งขึ้น 2,891.94 ล้านบาท
นายโรเบิร์ต โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2564 ว่า SPRC มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 112.84 ล้านบาท ลดลง 57.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 267.54 ล้านบาท แม้ว่าไตรมาส 3/2564 บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 22% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ค่าการกลั่นทางบัญชีสูงขึ้น โดยค่าการกลั่นตลาดในไตรมาส 3 นี้อยู่ที่ 2.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจาก 1.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ลดลงจากไตรมาส 2/2564 ซึ่งอยู่ที่ 2.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยเป็นผลมาจากส่วนเพิ่มราคาน้ำมันดิบ (crude premium) ปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ว่าส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์หลักจะเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 3 ปีนี้ได้รับผลกระทบทางลบจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ไตรมาส 3/2564 มีกำไรสุทธิลดลง
ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,891.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 6,867.03 ล้านบาท ถึงแม้ว่าปริมาณการขายจะลดลงจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ต่ำลงจากมาตรการล็อกดาวน์ แต่รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 22% จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและการเพิ่มขึ้นของกำไรจากสต๊อกน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันในปีนี้
ทั้งนี้ SPRC มีความยืดหยุ่นในด้านการผลิตและมุ่งเน้นการสร้างผลกำไรสูงสุด โดยเลือกใช้น้ำมันดิบชนิดเบาเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มการผลิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้น้ำมันในประเทศได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งมีการปรับลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานตามความต้องการที่ยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี SPRC มีความพร้อมที่จะกลับมาผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทันทีเมื่อความต้องการใช้น้ำมันกลับมาเป็นปกติ
สำหรับการซ่อมบำรุงเล็กน้อยที่หน่วยแตกโมเลกุลด้วยสารเร่งปฏิกิริยา (Residual Fluidized Catalytic Cracking Unit: RFCCU) SPRC ดำเนินการแล้วเสร็จด้วยความปลอดภัยและรวดเร็วกว่าแผนที่วางไว้ โดยดำเนินการในช่วงวันที่ 25 กันยายน ถึง 8 ตุลาคม 2564 และไม่ส่งผลกระทบในด้านการจัดหาผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าของเรา