PTTGC โชว์กำไรไตรมาส 3/64 พุ่ง 671% อยู่ที่ 7,005 ล้านบาท เหตุราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับเพิ่มสูงขึ้นหนุนรายได้จากการขายโตขึ้น 47% และมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน แย้มปีหน้าโครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงและโรงงานผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงทยอยผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,005.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 671% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 908.38 ล้านบาท โดยบริษัทฯ รายได้จากการขายรวม 112,173 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 47% จากไตรมาส 3/2563 เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีตามอุปสงค์ที่ยังคงดีและอุปทานที่ตึงตัวจากการหยุดซ่อมบำรุงและการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตบางรายในภูมิภาค
ส่วนทิศทางราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบและอุปสงค์ที่ฟื้นตัวภายหลังจากที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นอกจากนี้ ในด้านปริมาณขายในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีปริมาณขายในภาพรวมเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากการขยายกำลังการผลิต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตเดิมระหว่างไตรมาส แม้จะมีปริมาณขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมลดลงเนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในไตรมาสนี้ก็ตาม
ส่วนกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและการกลับรายการขาดทุนจากรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง) อยู่ที่ 8,657 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นกว่า 200% จากไตรมาส 3/2563 และมี Adjusted EBITDA ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 14,080 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 125%
รวมทั้งมีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและการกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net Reversal of NRV) เป็นกำไรรวม 1,171 ล้านบาท ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 1,676 ล้านบาท และผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,147 ล้านบาท
ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 41,734.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 772% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 6,204.99 ล้านบาท
ความคืบหน้าโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycle Plant) กำลังการผลิต 45,000 ตันต่อปี คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 1 ปีหน้า, โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง กำลังการผลิตรวมที่ 29,000 ตันต่อปี จะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปีหน้าเช่นกัน ส่วนโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 จะเริ่มได้ในไตรมาส 1/2566
บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2565 อยู่ที่เฉลี่ย 72-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 10-11 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำกับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 13-14 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปีหน้าจะทรงตัวอยู่ที่ 220-245 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 200-220 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE ในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,160-1,170 เหรียญสหรัฐ/ตัน