xs
xsm
sm
md
lg

เจาะกลยุทธ์ “เซ็นทรัล” ทรานส์ฟอร์ม ดิจิทัลรีเทล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด - CRC ประกาศความสำเร็จ ทรานส์ฟอร์มองค์กร หลังการปรับองค์กรครั้งใหญ่สู่การเป็นเบอร์หนึ่ง ‘Digital First’ และ ‘Omni-Centric Retailer’ พร้อมปูพรมแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในทั้ง 3 ประเทศ

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า เซ็นทรัล รีเทลได้ปรับองค์กรครั้งใหญ่ และระบบการทำงานเป็น Omni-Centric พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงานเป็นแบบ Digital First ในทุกมิติของการทำธุรกิจ ทำให้เราสามารถทรานส์ฟอร์มองค์กรเป็นดิจิทัลรีเทล (Digital Retail) ได้สำเร็จ ปูพรมแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในทั้ง 3 ประเทศ ส่งผลให้องค์กรของเรามีความแข็งแกร่ง สามารถก้าวข้ามทุกความท้าทาย พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ผลลัพธ์ความสำเร็จนั้น นายญนน์ กล่าวว่าสามารถแยกออกได้ดังนี้

1. พัฒนาระบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในการนำธุรกิจในเครือทั้งหมด 14 ธุรกิจ ขึ้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์สำเร็จ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 17 เดือนเท่านั้น
2. ภายในเวลาไม่ถึงปี มียอดดาวน์โหลด Central App ทะลุเกือบ 4 ล้านราย
3. ยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยปัจจุบันยอดขายผ่านออมนิแชนเนลเป็นสัดส่วนถึง 20% ของยอดขายรวมทั้งหมด
4. จำนวนลูกค้าผ่านช่องทางออมนิแชนเนลเพิ่มขึ้นกว่า 600% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลูกค้าออมนิแชนเนลมียอดใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าที่ซื้อผ่านช่องทางเดียวถึง 5 เท่า
5. สร้างมาตรฐานใหม่ของความสะดวกสบายเหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า ด้วยบริการ Quick Commerce ที่สามารถส่งถึงบ้านลูกค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมง
6. มีการขยายพื้นที่ และปรับปรุงแพลตฟอร์มออฟไลน์ทั้งหมดกว่า 3.2 ล้านตารางเมตร ใน 3 ประเทศ ให้เป็น Omni-Lifestyle store เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการชอปปิ้งของลูกค้า


นายญนน์เน้นย้ำถึง 4 ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล รีเทล ว่า
1. ดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจนในการเป็น Central to Life หรือศูนย์กลางชีวิตของผู้คน โดยยึดลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องตามเทรนด์ของผู้บริโภค
2. สร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ และปลูกฝังแนวคิดแบบ Digital First โดยเราได้ติดอาวุธให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลมากกว่า 50,000 คน และปรับระบบการทำงานให้เป็น Omni-Centric เพื่อมอบบริการให้แก่ Omni-Customer ในยุค 5.0 ได้อย่างดีที่สุด
3. ลงทุนกว่า 31,000 ล้านบาท ในการพัฒนา Central Retail Ecosystem ที่แข็งแกร่ง และแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทั้ง 3 ประเทศ ที่เชื่อมทั้งออฟไลน์ และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งประกอบด้วย
3.1 แพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์, Quick Commerce และ Mobile Application
(Central Super App และ Tops Online)
3.2 แพลตฟอร์มออฟไลน์ (Physical store) ที่เรามีการขยาย ปรับปรุง และเสริมเทคโนโลยี เช่น ระบบโรโบติกส์, AI เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ทันสมัย และตรงความต้องการลูกค้า
3.3 สร้างความสะดวกสบายรูปแบบใหม่ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และ Social Commerce เช่น บริการ Personal Shopper for everyone พร้อมสร้างระบบ Smart Cashless Payment ที่ครบวงจร ผ่านแอปพลิเคชัน Dolfin Wallet
3.4 ผนวกจุดแข็งของเครือข่ายทั่วประเทศ ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อสร้างระบบ Supply Chain และ Logistic ระดับเวิลด์คลาส ที่สามารถส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว โดยสร้างมาตรฐานว่าหากลูกค้ามาหาเราได้ใน 1 ชั่วโมง เซ็นทรัล รีเทลก็ต้องส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมงเช่นกัน

4. ปรับเปลี่ยน Portfolio อย่างมีกลยุทธ์ สู่ธุรกิจที่มีการเติบโตเร็ว และยั่งยืน โดยแยกดังนี้
4.1 กลุ่มแฟชั่น เป็น Destination ที่รวบรวมพรีเมียมแบรนด์ระดับโลก พร้อมใช้เครือข่ายของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล ยุโรป เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมียมไลฟ์สไตล์
4.2 กลุ่มฮาร์ดไลน์ และฟูด โฟกัสไปที่ตลาดแมสมากขึ้น และขยายทั้งในไทย และเวียดนาม โดยมีไทวัสดุเป็นธุรกิจเรือธงด้านฮาร์ดไลน์ที่มียอดขายคู่คี่เบอร์หนึ่งในตลาด พร้อมทั้งเปิดตัวโมเดลร้านค้าแบบ Daily Home Convenience เพื่อตอบโจทย์การใช้บริการสำหรับลูกค้าทุกคนทุกที่ทุกเวลา ผ่าน go! WOW


สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของทุกองค์กร แต่เซ็นทรัล รีเทล ก็ยังสามารถเดินหน้าธุรกิจ และก้าวผ่านวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่ง และยืดหยุ่น โดยมีแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลเป็นอาวุธหลักที่ทำให้ลูกค้ายังคงสามารถจับจ่ายได้อย่างสะดวกสบายและได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ห้างร้านในเครือในประเทศไทยถูกปิดไปกว่า 51 วัน และในประเทศเวียดนามถูกปิดไปเกือบทั้งไตรมาสจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ของเซ็นทรัล รีเทลมีรายได้รวม 41,482 ล้านบาท (ติดลบ10.6% QoQ) EBITDA 2,541 ล้านบาท (ติดลบ 37.8% QoQ) และสำหรับในปี 2564 นี้เราก็ยังมีการขยาย และปรับปรุงแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าซื้อกิจการต่างๆ และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในศูนย์การค้าฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อกำไรชั่วคราวในไตรมาส 3 ทำให้ขาดทุนสุทธิ 2,220 ล้านบาท

“เซ็นทรัล รีเทล ได้ทรานส์ฟอร์มองค์กรมาอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์และการดำเนินงานที่มีทิศทางชัดเจน ทำให้เกิดขึ้นได้จริง และประสบผลสำเร็จ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตที่ท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะโควิด-19 ที่เราสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส (Perfect storm, Perfect Opportunity) โดยนับจากนี้ยาวไปจนถึงปีหน้า เราเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่องหลังเห็นสัญญาณบวกจากการเปิดประเทศ และผลตอบรับที่ดีมากของลูกค้าที่กลับมาใช้บริการในห้างร้านของเรา บนมาตรการความสะอาดและปลอดภัยที่เข้มข้นยกระดับ โดยเห็นได้จากบรรยากาศการชอปปิ้งที่คึกคักต้อนรับช่วงไฮซีซัน และทราฟฟิกที่กลับมาอย่างรวดเร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้ เซ็นทรัล รีเทลยังเตรียมแผนเดินหน้าขยายตลาดเต็มที่ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี พร้อมปักธงสู่การเป็น ‘ดิจิทัล รีเทล’ ระดับโลกภายในปี 2568” นายญนน์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น