OR แจงกำไรสุทธิงวด 9 เดือน ปี 64 เติบโตจากปีก่อน 55.4% อยู่ที่ 9,121ล้านบาท แม้รายได้จากการขายและบริการในไตรมาส 3 นี้จะลดลงจากโควิดระลอกใหม่ พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้า เพื่อให้ทุกคนผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ลั่นไตรมาส 4/64 ยังมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ Mobility & Lifestyle เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
นายพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 9,121 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3,253 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55.4% ทั้งจากรายได้ขายและ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 34,652 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.0% และ 3,394 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.1% ตามลำดับ จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในปีนี้ ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจน้ำมันดีขึ้นจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันจะปรับลดลง 8% และกลุ่มธุรกิจ Non-oil ปรับตัวลดลงเล็กน้อยก็ตาม
ส่วนงวดไตรมาส 3/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,892.48 ล้านบาท ลดลง 45.15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,450.04 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้กับไตรมาสที่แล้ว รายได้จากการขายและบริการปรับลดลงเล็กน้อยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในประเทศไทยระลอกใหม่ในสายพันธุ์เดลตาที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจน้ำมันและกลุ่มธุรกิจ Non-Oil โดยปริมาณการขายของกลุ่มธุรกิจน้ำมันลดลง แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non-Oil รายได้ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนตามอุปสงค์ที่ลดลง เป็นปัจจัยกดดันให้ปริมาณขายรวมลดลง แต่ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย การออกกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น การนำกลับบ้าน บริการจัดส่ง รวมถึง Drive-Thru ทำให้ยอดขายของกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ลดลงไม่มากนัก ด้านกลุ่มธุรกิจต่างประเทศยังทรงตัว โดยไตรมาสที่ 3 OR มีรายได้ขายและบริการ 116,792 ล้านบาท ปรับลดลง 1.6% จากไตรมาสที่แล้ว
ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมไปถึงผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้าของ OR ด้วย OR จึงได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือคู่ค้า แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันหรือ LPG รวมถึงลดการจัดเก็บค่า Royalty fee และ Marketing fee สำหรับผู้ประกอบการ franchisee ร้านคาเฟ่อเมซอน รวมไปถึงการลดอัตราค่าเช่าให้ผู้ประกอบการร้านเช่า เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs รักษาการจ้างงาน และสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
นอกจากนี้ OR ได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อทดลองดำเนินธุรกิจการบริการยานยนต์ออนไลน์ (Online Automotive Service) เพื่อเป็น platform ขายสินค้าอะไหล่ยานยนต์ออนไลน์และเชื่อมต่อลูกค้า online กับร้านอู่ซ่อมรถ เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อตอบสนองผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งได้เปิดตัวสถานีบริการพีทีที สเตชั่น รูปแบบพิเศษ หรือ “Concept Station” ด้วยอัตลักษณ์ของท้องถิ่นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเป็นความภาคภูมิใจของท้องถิ่น อีกทั้งยังได้ร่วมกับ Flash Express ในการเปิดตัวจุดบริการส่งพัสดุในร้านคาเฟ่ อเมซอน หรือ “Flash Express Drop Off” ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน 71 สาขา เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าในร้านคาเฟ่ อเมซอน รวมถึงผู้ที่มาใช้บริการสถานีบริการพีทีที สเตชั่น เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการดำเนินชีวิตแบบครบวงจรสำหรับผู้บริโภค
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4 นี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Mobility & Lifestyle มุ่งตอบสนองผู้บริโภค อำนวยความสะดวกให้ทุกการเดินทางเพื่อตอบโจทย์คนเดินทางในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยยังคงแสวงหาพันธมิตรธุรกิจใหม่ๆ รวมถึง Start-up ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของโออาร์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) การท่องเที่ยว (Travel) สุขภาพ (Health and Wellness) รวมไปถึง Digital Lifestyle ต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของ OR รวมทั้งผู้ประกอบการไทยให้มีโอกาสในการก้าวสู่ความสำเร็จและเติบโตร่วมกันต่อไป