กระทรวงพลังงานเปิดแผนตรึงดีเซล 30 บาท/ลิตรงัดสารพัดมาตรการช่วยเหลือ ลั่นจ่อชง ครม.กู้เงิน 2 หมื่นล้านบาทเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ หวังตรึงดีเซลได้ถึง เม.ย. 65 หลังเงินที่มีอยู่ 7,000 ล้านตรึงถึงสิ้นปีหวังรับมือน้ำมัน 90 เหรียญต่อบาร์เรล พร้อมชง กพช. 5 พ.ย. ลดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ เหลือ 5 สตางค์/ลิตร
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในงานเสวนา “เจาะลึกราคาน้ำมันไทย แพงจริงหรือ?” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจว่า จากการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เป็นประธาน เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การกู้เงินภายใต้กรอบพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเสริมสภาพคล่องในการตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร วงเงิน 20,000 ล้านบาท เบื้องต้นแผนการกู้จะเน้นการกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศเป็นหลัก และตามขั้นตอนแล้วคาดว่าเงินกู้ดังกล่าวจะเข้ามาได้ในช่วงกลาง ม.ค.-ก.พ. 65 และจะสามารถดูแลดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรถึงเมษายน 2565
“ตามขั้นตอนเมื่อเสนอ ครม.แล้วจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุแผนกู้เงินกองทุนน้ำมันฯ เข้าไว้ในแผนการก่อหนี้สาธารณะที่คาดว่าจะประชุมได้ ธ.ค.นี้ และก็สู่กระบวนการกู้ที่เราเน้นไปที่การกู้ผ่านสถาบันการเงินเป็นหลักเป็นช่วงๆ และเงินนี้คาดว่าจะเข้ามาเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ได้ราวกลาง ม.ค.-ก.พ. 65 ส่วนฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิขณะนี้เหลือราว 7,000 ล้านบาทที่ประเมินว่าจะตรึงดีเซลได้ถึงเดือน ธ.ค.นี้ และเมื่อได้เงินกู้ก็จะดูแลดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรถึง เม.ย. 65 หรือสามารถรับมือราคาน้ำมันดิบได้ 90 เหรียญต่อบาร์เรล หรือราคาขายปลีกดีเซลที่จะขึ้นไปสู่ 34-35 บาทต่อลิตร” นายกุลิศกล่าว
การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน วันที่ 5 พ.ย. กระทรวงฯ ยังจะเสนอปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจากที่เก็บปัจจุบัน 10 สตางค์ต่อลิตรเหลือ 5 สตางค์ต่อลิตรเป็นช่วงเวลา 1-2 ปี เพื่อบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันแพงอีกส่วนหนึ่ง โดยหากสถานการณ์ราคากลับมาปกติก็อาจกลับมาพิจารณาจัดเก็บ โดยยืนยันว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการส่งเสริมการอนุรักษ์ฯ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าการอนุมัติสนับสนุนโครงการต่างๆ ขณะนี้วงเงินที่เก็บได้ 1 หมื่นล้านบาทนั้นสูงเกินไป
นอกจากนี้ การดูแลราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ได้ตรึงราคาไว้ 318 บาท/ถัง (15 กก.) จะมีการพิจารณาขยายการตรึงไปถึง ม.ค. 65 ซึ่งจะต้องใช้เงินเพิ่มอีกราว 2,000 กว่าล้านบาทจากปัจจุบันเงินดังกล่าวได้ถูกแยกบัญชีมาเป็นบัญชี LPG ติดลบแล้วกว่า 1.88 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงจะขอ ครม.อนุมัติกู้เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทจากกระทรวงการคลังเพราะเข้าข่ายการช่วยเหลือจากผลกระทบโควิด-19 แยกออกไปจากกองทุนฯ ต่างหากเพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ ที่เหลือใช้ตรึงราคาดีเซลเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม หากเงิน 2 หมื่นล้านบาทหมดจะกู้ได้อีกก็จะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาขยายวงเงินกู้
สำหรับข้อเสนอให้ตรึงดีเซล 25 บาทต่อลิตรนั้น หากพิจารณาจากราคาขายปลีกดีเซลปัจจุบันอยู่ราว 32-34 บาทต่อลิตร ซึ่งทุก 2 บาทต่อลิตรกองทุนน้ำมันฯ ต้องอุดหนุนถึง 3,000 ล้านบาท ซึ่งหากตรึงราคาดังกล่าวการกู้เงินอีก 2 หมื่นล้านบาทก็คงจะไม่เพียงพอ และหากพิจารณาย้อนหลังที่ผ่านมาทุกรัฐบาลก็จะตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ส่วนการลดภาษีสรรพสามิตเป็นอำนาจของกระทรวงการคลังจึงไม่อยากก้าวล่วง
“เราก็ทำทุกทางที่จะช่วยประชาชนลดค่าครองชีพ โดยดีเซลที่ช่วยเพราะมีผู้ใช้จำนวนมากและเกี่ยวข้องกับการขนส่ง ราคาสินค้าต่างๆ ส่วนการจะให้ลดหรือเลิกผสมบี 100 ในดีเซลนั้นก็ต้องเข้าใจว่านโยบายดังกล่าวมุ่งเน้นช่วยเกษตรกรปาล์มตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ แต่พลังงานเองก็ได้ลดภาระลงด้วยการกำหนดส่วนต่างราคาของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 7, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 พร้อมทั้งให้กำหนดส่วนต่างราคาดีเซล บี 7 กับน้ำมันดีเซลธรรมดา ที่ 0.15 บาทต่อลิตร และส่วนต่างราคาดีเซล บี 7 กับ บี 20 ที่ 0.25 บาทต่อลิตร โดยยังคงค่าการตลาดกลุ่มน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร” นายกุลิศกล่าว
