กกร.เคาะปรับเพิ่มเป้า GDP ปี 2564 ใหม่จากกรอบเดิม 0-1% เป็น 0.5-1.5% รับการเปิดประเทศ 1 พ.ย. จะช่วยหนุน ศก.ไทยปลายปีและต่อเนื่องปี 2565 แนะเพิ่มมาตรการช้อปดีมีคืน และโปรโมตงานลอยกระทง และปีใหม่ช่วยเสริมทัพ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า กกร.ได้พิจารณาปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2564 ดีขึ้นมาอยู่ใน 0.5-1.5% จากกรอบเดิม 0.0-1.0% แต่ยังคงเป้าการส่งออกโต 12-14% และเงินเฟ้อที่ 1-1.2% โดยตัวเลขนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ไม่มีการระบาดซ้ำเพิ่มเติมและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“การเปิดประเทศ 1 พ.ย. 2564 และการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและประชาชนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการอยู่ร่วมกับโควิด-19 และภาคเอกชนยังหวังว่าภาครัฐจะเสริมมาตรการด้วย มาตรการช้อปดีมีคืน จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในปลายปีนี้กลับมาคึกคักมากขึ้นและต่อเนื่องไปยังปีหน้า รวมถึงหากภาครัฐมีการผ่อนคลายและโปรโมตกิจกรรม เทศกาล ทั้งงานลอยกระทง และงานปีใหม่ได้ ก็จะเป็นตัวเสริมให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้น พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้นักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ โดยควรย้ำว่าต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันความเสี่ยงในขณะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นการระบาดด้วย” นายสนั่นกล่าว
สำหรับประเด็นของ กกร.ที่ได้หารือกันในวันนี้ นอกจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่หารือกันแล้ว ยังได้มีการคุยถึงประเด็นต่างๆ เช่น การอำนวยความสะดวกสำหรับนักเดินทาง ทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และ นักลงทุน ที่เข้าออกประเทศไทย โดยภาครัฐควรเร่งเจรจาให้มีมาตรการลดหย่อนตอนขากลับประเทศปลายทางด้วย เพื่อจะได้ไม่โดนการกักตัวและมีค่าใช้จ่ายที่สูงเมื่อเดินทางกลับ รวมถึงมีการสื่อสารข้อมูลที่อัปเดตและถูกต้องให้นักเดินทางด้วย ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวในปีหน้ากลับมาฟื้นตัวได้
การเจรจาความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ โดย CPTPP ซึ่งภาคเอกชนได้ส่งผลการศึกษาของภาคเอกชนให้ทางภาครัฐและภาคประชาสังคมไปแล้ว เพื่อเร่งให้เข้าร่วมเจรจา CPTPP เพราะหากช้าก็จะทำให้เสียโอกาส พร้อมกับต้องเพิ่มการเจรจาตามเงื่อนไขของประเทศที่จะเข้ามาเพิ่มเติมด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องหารือร่วมกันทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกประเทศร่วมกัน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ภาคการผลิตของไทยยังสามารถเติบโตได้ แต่เผชิญปัญหาอุปทานตึงตัวเช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่ทำให้ต้องชะลอการผลิตและไม่สามารถผลิตสินค้าได้มากเท่ากับที่ตลาดต้องการ และส่งผลให้ราคาสินค้าทั้งต้นน้ำและปลายน้ำปรับตัวสูงขึ้นมาก ในประเด็นนี้จึงทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โดยดัชนีราคาผู้ผลิตสูงขึ้นราว 5% เทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ผู้ส่งออกยังต้องเผชิญกับต้นทุนค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์และการขาดแคลนตู้ส่งสินค้า จึงต้องติดตามภาวะต้นทุนของผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป