“จุรินทร์” เผยไทยยื่นให้สัตยาบันความตกลง RCEP แล้ว คาด ม.ค. 65 มีผลบังคับใช้ ระบุจะเกิดเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของไทย หลังสินค้า 29,891 รายการลดภาษี 0% ทันที และยังได้ประโยชน์ในการส่งออกสินค้าเน่าเสียที่มีความรวดเร็วขึ้น การค้าออนไลน์ที่มีกฎ กติกาชัดเจนขึ้น และยังดึงดูดการลงทุน ขยายการค้าบริการ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมาไทยได้ยื่นให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ต่อสำนักเลขาธิการอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซียแล้ว ซึ่งการบังคับใช้กำหนดเงื่อนไขไว้ คือ ต้องมีประเทศอาเซียนไม่น้อยกว่า 6 ประเทศจาก 10 ประเทศให้สัตยาบัน และประเทศนอกอาเซียนที่มี 5 ประเทศ อย่างน้อย 3 ประเทศ รวมเป็น 3+6 เป็น 9 ประเทศ และขณะนี้กลุ่มอาเซียนมีแนวโน้มว่าจะให้สัตยาบันครบ 6 ประเทศแล้ว ประกอบด้วย สิงคโปร์ บรูไน ลาว กัมพูชา และเวียดนาม รวมทั้งไทย ที่เพิ่งยื่นให้สัตยาบัน ส่วนประเทศนอกอาเซียนมีจีนกับญี่ปุ่นยื่นไปแล้ว ถ้ามีอีกหนึ่งประเทศก็ถือว่าครบตามเงื่อนไข โดยคาดว่าต้นปีหรือเดือน ม.ค. 2565 จะมีผลบังคับใช้
สำหรับความตกลง RCEP หลังบังคับใช้จะกลายเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรรวมกันถึง 2,300 ล้านคน คิดเป็น 30% ของประชากรโลก และทำให้กลุ่มประเทศ RCEP มีจีดีพี 33.6% ของจีดีพีโลก หรือ 1 ใน 3 ของจีดีพีโลก มูลค่าการค้าประมาณ 30% ของมูลค่าการค้าโลก
ทั้งนี้ RCEP จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไทย โดยการส่งออกภาษีเป็น 0% อย่างน้อย 39,366 รายการ โดยลดเหลือ 0% จำนวน 29,891 รายการทันทีที่บังคับใช้ ตลาด RCEP จะเป็นการเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าไทยหลายรายการ เช่น ผลไม้สดและแปรรูป สินค้าประมง ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และส่วนประกอบ พลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น และไทยจะได้รับการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะในการส่งออก เมื่อสินค้าไปสู่ด่าน ถ้าเป็นสินค้าเน่าเสีย ผู้ค้าจะต้องปล่อยสินค้าภายในเวลา 6 ชั่วโมง จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกผลไม้ ผัก และสินค้าเน่าเสียหลายรายการของไทย
นอกจากนี้ จะมีการอำนวยความสะดวกทางการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ หรือระบบออนไลน์ ทำให้ผู้ประกอบการการค้าออนไลน์มีตลาดกว้างขึ้น มีกฎเกณฑ์กติกาชัดขึ้น และผู้บริโภคของไทยก็จะได้รับความคุ้มครองมากขึ้น จากการนำเข้าสินค้าผ่านระบบออนไลน์จากประเทศสมาชิก RCEP
ขณะเดียวกัน ไทยจะได้รับประโยชน์ในการที่มีผู้มาลงทุน และยังสามารถส่งออกสินค้าบริการไปยังสมาชิกได้มากขึ้น โดยภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ธุรกิจการก่อสร้าง ในกลุ่มประเทศอาเซียน เรามีศักยภาพแข่งขันได้ดีมากประเทศหนึ่ง การค้าปลีก การไปเปิดห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมทั้งการให้บริการด้านสุขภาพ ภาพยนตร์ และผลิตภัณฑ์ด้านบันเทิงแอนิเมชัน เป็นต้น และไทยยังมีทางเลือกในการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนจากประเทศสมาชิกที่มีความหลากหลายขึ้น นี่ก็คือประโยชน์ที่ได้รับจาก RCEP ที่เป็นรูปธรรม