ทาทาสตีลฯ ชี้ 6 เดือนหลังปีงบการเงิน 2565 ความต้องการใช้เหล็กและราคายังสูงต่อเนื่องจากราคาเศษเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น ผลพวงจีนลดปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศลง ขณะที่ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มขึ้นจากการลงทุนภาครัฐและการซ่อมแซมจากน้ำท่วม ล่าสุดราคาเหล็กดีดทะลุ 2.5 หมื่นบาทต่อตัน
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กในประเทศช่วง 6 เดือนข้างหน้าจะยังเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันที่ผ่านพ้นฤดูฝน ทำให้มีการใช้เหล็กในภาคก่อสร้างและการซ่อมแซมหลังจากเกิดน้ำท่วมใน 18 จังหวัดของไทย ขณะที่แนวโน้มราคาเหล็กก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ที่สูงขึ้นจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศษเหล็กมีไม่เพียงพอ ดันราคาปรับสูงขึ้น โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมาราคาเหล็กได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.5 หมื่นบาทต่อตัน จากเดิมเคยอยู่ที่ 2.35 หมื่นบาทต่อตัน
เป็นผลมาจากนโยบายจีนที่จำกัดการผลิตเหล็กในประเทศให้เท่ากับปีที่แล้ว โดยช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 โรงงานเหล็กของจีนได้ผลิตเหล็กดิบเพิ่มขึ้น 12% ดังนั้นในครึ่งหลังปีนี้จีนจึงได้ลดการผลิตเหล็กลง ส่งผลให้การใช้และราคาแร่เหล็กลดลง แต่ราคาผลิตภัณฑ์เหล็กปรับเพิ่มขึ้น มีผลต่อราคาเศษเหล็กปรับขึ้นตาม ทำให้การส่งออกเหล็กจากจีนมีต้นทุนสูงขึ้น และมีการนำเข้าเหล็กที่จีนด้วย
ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ปี 2564 ไทยมีความต้องการใช้เหล็กอยู่ที่ 13 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีความต้องการใช้เหล็ก 11.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 18.3% เนื่องจากฐานการใช้เหล็กที่ต่ำในปีที่แล้วและราคาเหล็กได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทั้งต้นทุนวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์
ดังนั้น บริษัทคาดการณ์การขายเหล็กในครึ่งปีหลังตามงบการเงินปี 2565 (ต.ค. 64-มี.ค. 65) ใกล้เคียงกับครึ่งแรกของบริษัทฯ ที่มีปริมาณการขาย 6.72 แสนตัน ทำให้ทั้งปีมีปริมาณการขายไม่น้อยกว่าปีก่อนที่ 1.3 ล้านตัน โดยครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าจะส่งออกเหล็กราว 9-10% ของปริมาณการผลิต โดยมีคำสั่งซื้อเหล็กจากแคนาดาที่จะส่งมอบในเดือนพฤศจิกายนนี้ราว 1.5 หมื่นตัน หลังจากเมษายน 2564 ได้ส่งออกไปแคนาดาแล้ว 6.5 พันตัน
นายราจีฟกล่าวถึงผลการดําเนินงานบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2564 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 922.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 133.07 ล้านบาท เนื่องจาก เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 (กรกฎาคม-กันยายน) ของปีงบประมาณ 2565 ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ โดยมีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ทำให้โครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอตัว ส่งผลให้บริษัทมียอดขายเหล็กอยู่ที่ 3.26 แสนตัน หรือลดลง 6% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แต่โตขึ้น 5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยยอดขายเหล็กเส้นที่ลดลงจากความต้องการในประเทศที่ซบเซาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 บริษัทชดเชยด้วยการส่งออกเหล็กแท่ง ทำให้บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 7,894 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับช่วง 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,769.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 187.54 ล้านบาท โดยบริษัทมีปริมาณการขายอยู่ที่ 6.7 แสนตัน ดีกว่าปีที่แล้ว10% และรายได้จากการขายสูงกว่าไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากราคาเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้น