บอร์ดอีอีซีเคาะปรับแผนการลงทุนระยะ 2 ช่วง 5 ปี (ปี 2565-69) เป็น 2.2 ล้านล้านบาท หลังระยะแรก 1.7 ล้านล้านบาท บรรลุเป้าหมายเร็วกว่าที่กำหนดโฟกัส 3 ด้านทั้งต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานจากเมืองการบินภาคตะวันออก พัฒนาพื้นที่ 30 กม.รอบสนามบิน ฯลฯ ดึงอุตฯ เป้าหมายใหม่ภายใต้ BCG ยกระดับชุมชนและประชาชน หนุนจีดีพีโตปีละ 4.5-5% หวังไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลางก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วปี 2572
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยหลังการประชุม กพอ.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ วานนี้ (4 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมปรับแผนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ระยะที่ 2 ในช่วง 5 ปี (ปี 2565-2569) วงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท มุ่งเน้นการลงทุนการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม วิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ แผนอีอีซีใน 5 ปีข้างหน้าจะทำให้มูลค่าการลงทุนในอีอีซีเพิ่มขึ้น 500,000 ล้านบาท/ปี (จากเดิม 300,000 ล้านบาท/ปี) ถือเป็นกลไกหลักช่วยผลักดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โตได้ 4.5-5% ต่อปี และยังช่วยบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 พร้อมส่งผลให้ไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ก้าวสู่ประเทศพัฒนาได้ในปี 2572
สำหรับวงเงินการลงทุนดังกล่าวจะ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1) ต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 200,000 ล้านบาท จากเมืองการบินภาคตะวันออก การพัฒนาพื้นที่ 30 กม.รอบสนามบิน และพัฒนาพื้นที่รอบสถานีหลักรถไฟความเร็วสูงฯ (TOD) 2) ดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมาย ปีละ 400,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ (1) การลงทุนในระดับฐานปกติ ปีละ 250,000 ล้านบาท และ (2) การลงทุนส่วนเพิ่มที่เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ภายใต้บริบทเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG) รวมปีละ 150,000 ล้านบาท 3) ยกระดับชุมชนและประชาชน ฯลฯ
"แผนการลงทุนระยะแรกอีอีซี (ปี 2561-65) เดิมกำหนดลงทุนไว้ 1.7 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้เกิดเงินลงทุนแล้ว 1,605,241 ล้านบาท หรือคิดเป็น 94% คาดว่าสิ้นปี 2564 จะได้ตามเป้าที่วางไว้จึงได้ปรับแผนใหม่ระยะที่ 2 โดยล่าสุดที่ประชุมยังได้รับทราบผลคัดเลือกเอกชน การเจรจา และร่างสัญญาร่วมทุนโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ที่ผ่าน ครม.แล้ว ทำให้โครงสร้างพื้นฐานหลักอีอีซีครบ 4 โครงการโดยจะได้มีการลงนามปลายเดือนนี้" นายคณิศกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพอ.ได้มอบหมายให้ สกพอ.จัดทำ (ร่าง) ประกาศสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ที่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรและที่มิใช่ภาษีอากร เพื่อสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่อีอีซี โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ ใช้นวัตกรรมขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะได้นำไปโรดโชว์ดึงการลงทุนในระยะข้างหน้าต่อไป
พร้อมทั้งยังเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในอีอีซี (พ.ศ. 2566-2570) และแผนงานโครงการภายใต้แผนฯ ที่ สกพอ.จัดทำร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 คลัสเตอร์สำคัญ ได้แก่ ผลไม้ ทุเรียน มังคุด มะม่วง ประมงเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำทดแทนนำเข้า พืชอุตสาหกรรมชีวภาพ มันสำปะหลัง พืชสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร และเกษตรมูลค่าสูง โคเนื้อพรีเมียม โดยเห็นชอบให้ สกพอ.ศึกษาการจัดตั้งบริษัทเพื่อบริหารโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) ร่วมทุนกับเอกชน ท้องถิ่น พัฒนาระบบห้องเย็น-โลจิสติกส์ทันสมัย ที่ สกพอ.จะเร่งสร้างโรงงานห้องเย็นให้ทันช่วงหน้าทุเรียนปี 2565 และจัดระบบสมาชิกชาวสวนผลไม้ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน โดยโครงการ EFC จะสร้างรายได้ 20-30% มูลค่าประมาณ 10,000-15,000 ล้าน/ปี คืนสู่เกษตรกร
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมพิจารณาให้ สกพอ.ร่วมกับเมืองพัทยาดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ตลาดลานโพธิ์นาเกลือ (Old Town นาเกลือ) เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนควบคู่ไปกับการเป็นตลาดอาหารทะเลชั้นนำในพื้นที่อีอีซี พร้อมเป็นโครงการนำร่องแผนพัฒนาเมืองพัทยาตามแนวทาง NEO PATTYA และเห็นชอบ “โครงการการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดง 2 ให้มีศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก (M1) และมีมาตรฐานโรงพยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม” เป็นหนึ่งในโครงการ EEC Project List รองรับผู้ประกันตนประมาณไม่ต่ำกว่า 200,000 คนในอำเภอปลวกแดง