ราช กรุ๊ปมั่นใจปิดดีลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มทั้งในอินโดนีเซียและไทย รวมกับการลงทุนโรงไฟฟ้าไพตัน มั่นใจหนุนสิ้นปีนี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มตามเป้า 1,000 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนราว 31,000 ล้านบาท “กิจจา” ส่งไม้ต่อภารกิจเป้าหมายกำลังผลิต 10,000 เมกะวัตต์ในปี 2568 ให้ “ชูศรี เกียรติขจรกุล” ซีอีโอคนใหม่
วันนี้ (29 กันยายน) บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) แถลงการส่งมอบตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทฯ โดยนางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล จะเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ คนที่ 7 และเป็นผู้นำสุภาพสตรีคนแรกขององค์กรที่จะเข้ามาสานต่อภารกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร เสริมสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร และพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ต่อจาก นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ ที่จะเกษียณอายุการทำงานในวันที่ 30 กันยายนนี้
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์ปี 2568 บริษัทวางเป้าหมายมีกำลังการผลิตที่ 10,000 เมกะวัตต์ (MW) โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ราช กรุ๊ปมีการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มกำลังการผลิตทำให้ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวม 8,292 เมกะวัตต์ และสิ้นปี 2564 จะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 1,000 เมกะวัตต์ มาจากโรงไฟฟ้าไพตันที่อินโดนีเซีย 900 เมกะวัตต์ และปิดดีลการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่อินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในไทย ใช้เงินลงทุนรวม 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินไพตันที่อินโดนีเซีย 25,000 ล้านบาท โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่อินโดนีเซีย 1,500 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในไทย 4,500 ล้านบาท
สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินการกู้ยืมสถาบันการเงินเป็นอันดับแรก ในอนาคตจะมีแหล่งเงินจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน 769.23 ล้านหุ้น ที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งราช กรุ๊ป ก่อตั้งมา 21 ปีไม่เคยมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเลย จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการปรับโครงสร้างเงินทุนเพื่อให้บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง รองรับการลงทุนพลังงานทดแทนที่จะเพิ่มขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จากเดิมที่กำหนดไว้ 25% ของกำลังผลิตไฟฟ้ารวม เพิ่มเป็น 40% เพื่อสอดรับแผน PDP ฉบับใหม่
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้กระจายการลงทุนไปยังโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในระยะยาว โดยกำหนดเป้าหมายไว้ปีละ 5% ของงบลงทุน อีกทั้งยังสร้างฐานธุรกิจในต่างประเทศทั้งใน สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และเวียดนามเป็นประเทศล่าสุด
“ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถลงทุนกำลังการผลิตเพิ่มได้กว่า 2,000 เมกะวัตต์ จนมาอยู่ที่ 8,292 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าไพตันที่อยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นให้ความเห็นชอบ หากประสบความสำเร็จบริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 900 เมกะวัตต์ ส่วนมูลค่ากิจการอยู่ที่ประมาณ 120,000 ล้านบาท ซึ่งรูปแบบการลงทุนในกิจการที่ดำเนินงานแล้วจะช่วยผลักดันมูลค่ากิจการเพิ่มได้ดียิ่งขึ้น ผมมั่นใจว่าประสบการณ์ของคุณชูศรีกว่า 30 ปี ด้านบริหารการเงินการลงทุนจะเข้ามาช่วยเติมเต็มให้การขับเคลื่อนเป้าหมายการลงทุนและมูลค่ากิจการของบริษัทฯ ดียิ่งขึ้น” นายกิจจากล่าว
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ กล่าวว่า ตนพร้อมสานต่อภารกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของราช กรุ๊ป ด้วยการแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขีดความสามารถบริษัทฯ ในการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนายกระดับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลให้ทัดเทียมมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น
“การบริหารและวางแผนการเงินเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการลงทุน เพื่อให้เป้าหมายกำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ และมูลค่ากิจการ 200,000 ล้านบาท บรรลุผลสำเร็จ โดยจะนำความรู้และประสบการณ์เข้ามาเสริมในการบริหารการลงทุนการเงิน ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการประสิทธิภาพการใช้งบลงทุน การจัดหาแหล่งเงินทุนหรือเครื่องมือทางการเงินที่มีต้นทุนสมเหตุสมผลและเหมาะกับลักษณะของโครงการสำหรับรองรับการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตลอดจนการบริหารจัดการผลตอบแทนหรือรายได้ของกิจการที่ลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ากระแสเงินสดของบริษัทมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง
“ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของราช กรุ๊ป ดิฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมากกว่า 30 ปี ทั้งในด้านการบริหารการเงิน และการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและพลังงาน จะสามารถช่วยขับเคลื่อนภารกิจ 3 ประการของราช กรุ๊ป ให้ก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมาย” นางสาวชูศรีกล่าว
