xs
xsm
sm
md
lg

เดอะสแตนดาร์ดปักธงตลาดไทย ปั้นโรงแรมหรูแฟลกชิปแห่งเอเชีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน360-เดอะ สแตนดาร์ด เครือโรงแรมระดับโลก สยายปีกบุกตลาดไทย ผุด 2 แห่ง ชูเป็นโรงแรมแฟลกชิปของแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ดในเอเซีย ที่ตึกคิงเพาเวอร์ มหานคร กรุงเทพ และ ที่หัวหิน ตอบรับไทยจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของโลก ย้ำสถานการณ์ โควิดต้องดีขึ้นตามลำดับ ชี้โครงการต่างๆของรัฐบาลไทยช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวได้ดี

นายอมาร์ ลัลวานี่ ซีอีโอ Standard International Management, LLCบริษัทแม่ของเครือโรงแรม The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) เปิดเผยว่า แม้ว่าในปัจจุบันนี้โลกเราจะมีความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดอยางหนักทั่วโลกและรวมทั้งในประเทศไทยด้วยนั้น แต่ภาพรวมการดำเนินงานของเครือโรงแรม The Standard ก็ยังคงสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ได้คาดการณ์เอาไว้ โดยมีค่าเฉลี่ยดัชนีการสร้างรายได้หรือ RGI ที่ระดับ 134 ในปี 2564 เมื่อเทียบกับที่ 122 ในปี 2562 ด้วยความแข็งแกร่งและกลยุทธ์การปรับตัวของเรา


ความแข็งแกร่งของแบรนด์ นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวเลขยอดการจองตรงในโรงแรมในเครือ The Standard อยู่ระดับสูงตลอด โดยเพิ่มจากอัตรา 45% ก่อนโควิดระบาด มาสู่ระดับ 58% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับแบรนด์โรงแรมอิสระ

อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มมองว่า ธุรกิจการท่องเที่ยว การเดินทาง โรงแรม และที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ยังคงต้องมีการเติบโตและเป็นสิ่งจำเป็นต่ไปในอนาคตแน่นอน และทุกอย่างจะฟื้นตัวขึ้นตามสถานการณ์ที่เหมาะสม แต่สิ่งที่ท้าทายของธุรกิจการท่องเที่่ยวก็คือ การดำเนินธุรกิจท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ดำเนินไปพร้อมกับเรื่องของสุขอนามัยที่เข้มงวด
นายอมาร์เสริมว่า แม้ในสภาพเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤติ The Standard สามารถขยายฐานธุรกิจเครือโรงแรมได้อย่างน่าพอใจในปีที่ผ่านมา “ปัจจุบัน เรามีโรงแรมทั้งหมด 17 แห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ The Standard ,Bunkhouse (บังค์เฮ้าส์) และ The Peri Hotel (เดอะ เภรี โฮเทล) โดยในจำนวนนี้ 15 แห่งกลับมาเปิดให้บริการหลังเกิดโควิดระบาด และอีก 21 แห่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ นอกเหนือจากนี้มีอีกหลายแห่งอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทำให้เราเป็นหนึ่งในแบรนด์ไลฟ์สไตล์อิสระชั้นนำของโลก”

“โควิดยังระบาดอยู่ แต่ก็มีบางประเทศที่เปิดท่องเที่ยวแล้วในภูมิภาคเอเชีย เช่่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ถือเป็นตลาดแรกๆที่มีการเปิดประเทศท่องเที่ยวแบบลดข้อจำกัดลงไปมากแล้ว ส่วนประเทศอินเดีย และออสเตรเลีย ก็ยังคงต้องรอสถานการณ์อีกต่อไป ส่วนตลาดประเทศไทยนั้นเมื่อสถานการณ์เริ่มกลับมาเป็นบวกหรือดีขึ้น มั่นใจว่านักท่องเที่ยวยังต้องการเดินทางมาเที่ยวในไทยอีกแน่นอน เพราะประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการท่องเที่ยวที่สำคัญ อีกทั้งสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการในตอนนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีช่วยสร้างความมั่นใจและกระตุ้นตลาดอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์, สมุยพลัส ที่เริ่มไปแล้ว หรือ หัวหินรีชาร์จที่จะเริ่มเร็วๆนี้” นายอมาร์ กล่าว


ทั้งนี้ ทางกลุ่มสแตนดาร์ด ยังมีแผนในการาขยายธุรกิจโรงแรมที่พัก แบรนด์ต่างๆในเครือท้ั้งแบรนด์อย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เดอะสแตนดาร์ด, BUNK HOUSE (บังค์เฮ้าส์) และ The Peri Hotel (เดอะ เภรี โฮเทล) ซึ่งในเบื้องต้นนี้มีแผนที่จะเปิดโรงแรมใหม่ไม่ต่ำกว่า 35 แห่งทั่วโลก

โรงแรมเดอะพสแตนดาร์ด ที่เปิดบริการแล้วในพอร์ตโฟลิโอประกอบด้วยโรงแรม 7 แห่ง มีห้องพักรวม 1,297 ห้อง มีแผนที่จะขยายจำนวนโรงแรมเพิ่มอีก 4 เท่าตัวทั่วโลกในอีก 5ปีจากนี้

อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2568 ทางลุ่มมีแผนที่จะเปิดโรงแรมแบรนด์เดอะสแตนดาร์ด (The Standard) ใหม่ 9 แห่ง รวมจำนวน 1,828 ห้องพัก ในอีก 8 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

คือ ประเทศไทย เปิดที่ หัวหิน จำนวน 199 ห้อง เปิดปี2564 และกรุงเทพที่ตึกคิงเพาเวอร์ มหานคร จำนวน 155 ห้องพัก เปิดปี 2565 , ที่อิบิซา สเปน จำนวน 67 ห้องพัก เปิดปี 2565, สิงคโปร์ จำนวน 140 ห้องหัก เปิดปี 2566, ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย จำนวน 127 ห้องพัก เปิดปี 2566, ที่ลิสบอน โปรตุเกส จำนวน 160 ห้องพัก เปิดปี 2566 , ที่บรัสเซล เบลเยียม จำนวน 180 ห้องพัก เปิดปี 2568, ที่เมืองดับบลิน ไอร์แลนด์ จำนวน 200ห้องพัก เปิดปี 2568 และที่เมืองลาสเวกัส จำนวน 600 ห้องพัก เปิดปี2568


นายอมาร์ กล่าวถึงการรุกเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยด้วยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายท่องเที่ยวอับดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยที่ตั้ง ทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม และความรุ่มรวยของมรดกทางวัฒนธรรม และจากความตั้งใจจริงของเราที่จะวางรากฐานในเอเชียอย่างมั่นคง เราจึงนำประสบการณ์กว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมบูทีคโฮเทล ความเป็นแบรนด์ที่เร้าความรู้สึกอย่างมีรสนิยม ด้วยการออกแบบที่พิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียด และบริการที่เป็นเลิศ มาสู่ผู้บริโภคในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่งอย่างเมืองไทย เริ่มด้วยการเปิดตัวโครงการแลนด์มาร์กใหม่ทั้งสองแห่งนี้

สำหรับโรงแรมใหม่ล่าสุดที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งและขยายการเติบโตให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ได้แก่ The Standard, Hua Hin (เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน) รีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำหนดเปิดตัววันที่ 1 ธันวาคม 2564 ตามด้วย The Standard, Bangkok Mahanakhon (เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร) อันถือเป็นโครงการแฟล็กชิพประจำเอเชียของแบรนด์ ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2565


การเปิดตัวแบรนด์ The Standard เข้าสู่ตลาดประเทศไทย ถือว่าทำได้อย่างถูกเวลาเนื่องจากประเทศไทยกำลังเดินหน้าเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยการผ่อนผันกฎเกณฑ์ในการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และการเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน

ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในเดสทิเนชั่นอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางจากทั่วโลก จนทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 38 ล้านคนในปี 2561 และมากกว่า 39 ล้านคนในปี 2562 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งกรุงเทพฯ และภูเก็ต ยังคงได้รับความนิยมในฐานะเมืองสุดโปรดของเหล่านักเดินทางนานาชาติ โดยติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลกจากการมอบรางวัล Tripadvisers Travellers’ Choice Best of the Best 2021 ในประเภท Popular Destinations – World’ จากการลงคะแนนเสียงโดยนักท่องเที่ยวที่เคยมาสัมผัสและหลงรักเมืองทั้งสองแห่ง

“การจะฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวให้กลับคืนมาเหมือนช่วงก่อนโควิด19 ระบาดนับว่าเป็นเรื่องท้าทายมาก ดังนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงเริ่มต้นผลักดันภารกิจหลักสู่การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศให้กลับมาโลดแล่นเหมือนเดิม ประเทศไทยเริ่มพิจารณาใช้นโยบายเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง หลังจากแผนระดมฉีดวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้า โดยเริ่มจากโครงการนำร่อง ‘Phuket Sandbox’ ที่อ้าแขนรับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนเข้าสู่ เกาะภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตามด้วยโครงการในลักษณะเดียวกันในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ รวมทั้งโครงการ ‘Hua Hin Recharge’ ที่ตั้งเป้าให้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ได้ ร้อยละ 70 เพื่อพร้อมรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาเยือนเมืองชายทะเลแห่งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป” นายอมาร์ กล่าว


ในช่วงที่ฤดูท่องเที่ยวหลักใกล้เข้ามา ซึ่งโดยปรกติจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม ประเทศไทยจะมีเมืองท่องเที่ยวหลัก 5 แห่ง (ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ และหัวหิน ซึ่งข้อมูลจากททท. ระบุว่าสร้างรายได้เข้าประเทศคิดเป็นร้อยละ 50 ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวม) ที่เข้าร่วมในแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะที่อีก 2จังหวัด คือ กระบี่และพังงา เป็นจุดหมายรองจากเมืองหลัก ปัจจุบันภูเก็ตเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนเดินทางได้ทั่วเกาะ ขณะที่เมืองอื่น ๆ จะเปิดให้เดินทางไปยังบางเส้นทางโดยนักท่องเที่ยวยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแต่ละที่ ขณะเดียวกัน ภาครัฐกำลังพิจารณาให้หัวหินเป็นจุดหมายที่เปิดโอกาส ให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างอิสระในรัศมี 86 กิโลเมตรโดยไม่ต้องมีการกักตัว

เมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในประเทศไทย เมืองชายทะเลอย่างหัวหิน อันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ต ติดชายหาดแห่งแรกในเมืองไทยในเครือ The Standard พึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดย 70% ของนักท่องเที่ยวก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย อัตราการเข้าพักสูงถึง 90% ในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ ทั้งนี้ ในปี 2563 โรงแรมในหัวหินมีตัวเลขอัตราการเข้าพักสูงที่สุดอยู่ที่ 39% มากกว่าเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างพัทยา ภูเก็ต และกรุงเทพฯ


The Standard, Hua Hin ซึ่งเป็นรีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกของแบรนด์ในประเทศไทย จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคม โดยมีห้องพัก 178 ห้อง พูลวิลล่า 21 หลัง ติดหาด The Standard, Hua Hin จะเป็นจุดหมายที่ไม่เคยตกยุคสำหรับกลุ่มลูกค้าคนไทยผู้ชื่นชอบการพักผ่อนอย่างสร้างสรรค์และกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของ The Standard ทั่วโลก

หัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่เริ่มจุดหมายของนักเดินทางตั้งแต่พ.ศ. 2454 เมื่อเส้นทางรถไฟเชื่อมกรุงเทพฯ กับภาคใต้เริ่มให้บริการมาถึงเมืองชายหาดแห่งนี้ในช่วงกลางยุค 1920s (พ.ศ.2 463-2473) ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองโปรดในช่วงวันหยุดสำหรับชนชั้นสูง ในช่วง 10 กว่าปีหลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป หมู่บ้านประมงเงียบสงบแห่งนี้เปลี่ยนโฉมเป็นเมืองริมทะเลจุดหมายหลักของนักเดินทางโดยยังคงเสน่ห์ดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้หัวหินยังเป็นเมืองโปรดในช่วงสุดสัปดาห์สำหรับผู้คนจากกรุงเทพ ฯ ที่รอคอยประสบการณ์แบบที่ The Standard สัญญาว่าจะมอบให้ได้ นั่นคือ รีสอร์ตติดชายหาดที่โดดเด่นมีชีวิตชีวานำเสน่ห์ของหัวหินมาสะท้อนอยู่ในองค์ประกอบต่างๆ ของโรงแรม ภายใต้ความสง่างาม เรียบง่ายและเต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของทำเลอันเป็นที่ตั้งจองโรงแรม เสริมด้วยการนำเสนอที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และความสนุกสนานในแบบสากล


The Standard, Bangkok Mahanakhon จะเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของแบรนด์ The Standard ในทวีปเอเชีย จะกลายเป็นแลนด์มาร์กที่น่าตื่นตาตื่นใจของประเทศไทย เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของ คิง เพาเวอร์ มหานคร อาคาร 78 ชั้น ที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของไทยในปัจจุบัน โดยโรงแรมแห่งนี้จะสะท้อนความเป็นเมืองหลวงที่เปี่ยมพลังของกรุงเทพฯ ด้วยห้องพัก 155 ห้อง เพนท์เฮาส์ สระว่ายน้ำริมระเบียง ฟิตเนส ห้องประชุม รวมทั้งบริการอาหารและเครื่องดื่ม และสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนตอนกลางคืน ตั้งแต่ห้อง The Parlor (เดอะ พาร์เลอร์) ไปจนถึง tea room (ที รูม) และร้านอาหารชื่อดังอย่าง Standard Grill (สแตนดาร์ด กริล) โดยร้านอาหารและบาร์ชั้น 76 แห่งนี้เสิร์ฟความอร่อยพร้อมวิวสุดอลังการของกรุงเทพฯ และเมื่อเพิ่มความสูงขึ้นไปสองชั้นสู่จุดชมวิวบนชั้น 78 ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนโรงแรมแห่งนี้จะกลายเป็นประสบการณ์สัมผัสเส้นขอบฟ้าที่สมบูรณ์แบบ โดยโรงแรมแห่งนี้กำหนดเปิดให้บริการในปี 2565

The Standard, Bangkok Mahanakhon ออกแบบโดย Jaime Hayon (ไฮเม เฮยอน) นักออกแบบชาวสเปน ร่วมกับทีมออกแบบภายในมือรางวัลของ The Standard โดยโครงการที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแห่งนี้จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตโฟลิโอของ The Standard เคียงข้างสมาชิกก่อนหน้าที่คว้ารางวัลต่าง ๆ มามากมาย อาทิ The Standard, High Line (เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์) และ Standard, London (เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน) รวมถึงโรงแรมล่าสุดในเครืออย่างThe Standard, Huruvalhi Maldives (เดอะ สแตนดาร์ด ฮูรุวาลี มัลดีฟส์)

ปัจจุบัน กระแสความต้องการในการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง จากประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคง และพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวขาเข้าน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เป็นเป้าหมายหลักที่ธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจเป็นอย่างสูง ในการดึงดูดให้เข้ามาท่องเที่ยวประเทศของตนเอง ซึ่งประเทศไทยคือจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงสำหรับการท่องเที่ยวของนักเดินทางกลุ่มนี้เมื่อมีการเปิดพรมแดนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยวอีกครั้ง หากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ยังไม่สามารถดำเนินการในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และยกเลิกข้อกำหนดในการเดินทางข้ามประเทศได้อย่างทันท่วงที












กำลังโหลดความคิดเห็น