วันนี้ (19 ส.ค.) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบการระบบน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกผ่านระบบประชุมทางไกล ระหว่างกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กิจการร่วมค้าของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR)
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกนั้นเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในเขตพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับการขนส่งทางอากาศทั้งการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า ซึ่งแม้ว่าทั่วโลกและไทยจะประสบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จนกระทบต่อโครงการไปบ้างโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบิน แต่เชื่อว่าในระยะอีกไม่นานเนื่องจากได้มีการเร่งควบคุมการระบาดและมีวัคซีนในการเข้ามาดูแลป้องกัน รวมถึงมาตรการเยียวยาต่างๆ ก็จะทำให้ธุรกิจการบินน่าจะกลับมาได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการท่องเที่ยวซึ่งรัฐบาลพยายามนำร่องในบางพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมทุกด้านหลังการควบคุมการระบาดโควิด-19 ได้ดีขึ้น
“โครงสร้างพื้นฐานหลักในอีอีซีเวลานี้ได้คืบหน้าไปแล้วพอสมควร ทั้งรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เมืองการบินภาคตะวันออก และต้องขับเคลื่อนให้สภาพแวดล้อมต่างๆ ให้เกิดขึ้นต่อเนื่องให้สำเร็จเพื่อประโยชน์การพัฒนาประเทศระยะยาวเพื่อที่จะเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเดิมๆ ไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่จะเป็นรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกที่ สกพอ.ร่วมมือกับกองทัพเรือเพื่อผลักดันให้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาบนพื้นที่ 6,500 ไร่ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ จึงได้คัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าร่วมพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในส่วนของงานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน โดยเลือกให้บริษัท “กิจการร่วมค้าบาฟส์และโออาร์” เป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา
“กิจการร่วมค้าบาฟส์และโออาร์ที่ได้รับคัดเลือกดำเนินการดังกล่าวเบื้องต้นได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลภายใต้ชื่อ โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) ซึ่งจะจัดทำระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ณ สนามบินอู่ตะเภาบนพื้นที่ 19 ไร่ ซึ่งการดึงเอกชนเข้าร่วมพัฒนาครั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การดำเนินงานเพราะแหล่งเงินทุนของรัฐมีจำกัด โดยขณะนี้การทำงานมีความท้าทายจากผลกระทบโควิดทำให้ไทยต้องการเพิ่มการลงทุนที่สูงขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว โครงการเมืองการบินฯ จึงเป็นหนึ่งโครงการสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยมีเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค” นายคณิศกล่าว
นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท BAFS กล่าวว่า การจัดตั้งบริษัท GAA ร่วมกับ OR ในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR กล่าวว่า OR ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน Flagship ของกลุ่ม ปตท. และเป็นผู้นำด้านพลังงาน OR ให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากล การร่วมมือกับ BAFS ในการจัดตั้งกิจการร่วมค้า GAA ถือเป็นการเสริมศักยภาพในการแข่งขัน และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานภายในสนามบินอู่ตะเภาเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล ประธานกรรมการ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กล่าวว่า GAA จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ด้วยมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท โดย BAFS ถือหุ้น 55% และ OR ถือหุ้น 45% สำหรับโครงการเช่าที่ดินราชพัสดุดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนเริ่มแรกประมาณ 2,300 ล้านบาท ซึ่ง GAA จะจัดเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปลายปีนี้เพื่อส่งเสริมศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี และสร้างความมั่นคงด้านการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานรองรับการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของสนามบินอู่ตะเภาในปี 2568 และการเติบโตของ EEC ตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล