xs
xsm
sm
md
lg

SCGP ฟุ้งกำไรครึ่งแรกปี 64 พุ่ง 21% บอร์ดฯ อนุมัติจ่ายปันผล 25 สต./หุ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอสซีจี แพคเกจจิ้งแจ้งผลประกอบการครึ่งแรกปี 2464 มีกำไรสุทธิ 4,397.99 ล้านบาท โตขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านบอร์ดบริษัทฯ อนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.25 บาท แย้มไตรมาส 3 นี้ปิดดีลการควบรวมกิจการอีก 2 ดีลที่อินโดนีเซียและสเปน ดันรายได้จากการขายทั้งปี 2564 ทะลุ 1 แสนล้านบาท 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,263.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,904.21 ล้านบาท

โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 SCGP มีรายได้จากการขายเท่ากับ 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการขยายธุรกิจทั้งแบบการเข้าควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ประเทศเวียดนาม และการเข้าลงทุนใน Go-Pak UK Limited (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายในอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ EBITDA เท่ากับ 5,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA margin ที่ 19%

ด้านผลประกอบการครึ่งแรกปี 2564 SCGP มีกำไรสุทธิ 4,397.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,636.340 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จากการขายเท่ากับ 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายใน ในส่วนของ EBITDA เท่ากับ 10,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA margin ที่ 19% ส่วนกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นยังมาจากการวางกลยุทธ์ในการรักษาความเป็นผู้นำโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนและการขยายธุรกิจได้ตามแผนงานที่วางไว้ในการ M&P กับ SOVI และ Go-Pak UK Limited เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตที่แล้วเสร็จในช่วงที่ผ่านมา เช่นการเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย, การเพิ่มกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ในประเทศไทย เป็นต้น

SCGP สามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจผ่านธุรกิจปัจจุบันและ  M&P ทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าในปี 2564 จะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาทเพื่อกระจายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มพอร์ตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งการเข้าควบรวมกิจการ (M&P) ซึ่งปัจจุบันในครึ่งหลังปีนี้ยังมีงบลงทุนเหลืออยู่อีก 5,000 ล้านบาท เพียงพอในการปิดดีลควบรวมกิจการอีก 2 โครงการที่เหลืออยู่ในอินโดนีเซียและสเปนคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 นี้

นายวิชาญกล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังจะได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตาม ทิศทางการดำเนินงานของ SCGP ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ จะรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายรายได้จากการขายรวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการที่ M&P ทั้ง 5 โครงการในต่างประเทศ โดยจะรับรู้รายได้เพิ่มเข้ามาประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี

รวมทั้งมีโครงการขยายกำลังการผลิต ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารจากกระดาษเพิ่มขึ้นอีก 1,615 ล้านชิ้นต่อปีที่ประเทศไทยและประเทศเวียดนามคาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ รวมถึงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์อีก 220,000 ตันต่อปี และการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัวในประเทศไทยอีก 53 ล้านตารางเมตรต่อปีที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

“SCGP ได้ปิดดีลการเข้าถือหุ้นร้อยละ 70 ใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนามตามการเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นตามที่ได้เปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 นอกจากนี้ยังมีดีลที่อยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งคาดว่าจะปิดดีลสำเร็จในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ได้แก่ การเข้าถือหุ้นร้อยละ 75 ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (Intan Group) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในประเทศอินโดนีเซีย และการเข้าถือหุ้นร้อยละ 85 ใน Deltalab, S.L.ประเทศสเปนเพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการและการเติบโตของวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ของ SCGP ในระดับโลก ซึ่ง SCGP จะเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งด้วยการประสานความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว”

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันนี้ (27 กรกฎาคม) อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564


กำลังโหลดความคิดเห็น