ส.อ.ท.หนุนภาครัฐบาลจัดระเบียบโรงงานที่เสี่ยงอันตรายที่อยู่ใกล้ชุมชนโดยการส่งเสริมให้เข้าไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแทนโดยรัฐสร้างแรงจูงใจ เช่น เว้นภาษีเงินได้ ฯลฯ ส่วนเอสเอ็มอีรัฐต้องตั้งนิคมฯ เฉพาะรองรับโดยกำหนดราคาที่ดินให้เข้าถึงได้
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงาน หมิงตี้เคมีคอล จำกัด จนกระทบเป็นวงกว้าง ว่า รัฐควรจะจัดระเบียบโรงงานที่มีปัญหาความเสี่ยงต่อมลพิษและอันตรายต่อชุมชนด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมให้ย้ายไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม โดยการออกมาตรการที่เป็นการสร้างแรงจูงใจ เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมภาษีที่ดิน 2% และการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น ส่วนธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีทุนน้อยรัฐควรจะพัฒนานิคมฯ สำหรับเอสเอ็มอีขึ้นมาโดยเฉพาะแล้วคิดราคาที่ดินในอัตราที่ต่ำ
“ที่ผ่านมาโรงงานส่วนใหญ่พยายามที่จะตั้งห่างไกลจากชุมชนอยู่แล้ว แต่เมื่อความเจริญขยายเข้ามาก็กลายเป็นว่าโรงงานอยู่ติดชุมชนซึ่งมีหลายโรงงานที่ไม่ได้อยู่ในนิคมฯ ดังนั้น เห็นว่าถ้าโรงงานใดที่เสี่ยงต่อการสร้างมลพิษสูง หรือมีความเป็นอัตรายต่อชีวิตประชาชนก็ควรจัดไปอยู่ในนิคมฯ เพราะชัดเจนว่าระเบียบของนิคมฯ ต้องไม่มีชุมชนอยู่ภายในและรอบข้าง ขณะที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ก็กำกับดูแลในเรื่องของมลพิษ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ดีพร้อม แต่รัฐต้องสนับสนุนการย้ายโรงงานด้วยเพราะหากจะให้เขาย้ายไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะลงทุนสูง” นายสุพันธุ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.มีนโยบายอย่างต่อเนื่องที่จะส่งเสริมการพัฒนาโรงงานไปสู่โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) โดยร่วมมือกับ กนอ.ซึ่งจะมีหลายองค์ประกอบที่ดำเนินการ ทั้งการให้ความสำคัญต่อการผลิตที่เน้นดูแลสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อยกระดับไปสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ซึ่งขณะนี้มีโรงงานเข้าร่วมกว่า 300 แห่ง
