จับตา “นายกฯ” ตั้งสอบประมูลรถไฟทางคู่ “สายเหนือ-อีสาน” ฝ่าครหาฮั้ว เอื้อรับเหมารายใหญ่ เปิดอีกปม TOR ให้ยื่นอาณัติสัญญาณ 2 ยี่ห้อ รฟท.เสียโอกาสได้ประโยชน์สูงสุด เผยกรมบัญชีกลางเคยชี้เสนอแบบเผื่อเลือกไม่ได้ ประโยชน์จะตกแก่เอกชน
รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากกรณีที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ได้ยื่นหนังสือต่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรี เพื่อให้พิจารณาทบทวนการประมูลและตรวจสอบความไม่ถูกต้องในการประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ สายเหนือ (เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ) และสายอีสาน (บ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม) มูลค่ารวม 128,376.79 ล้านบาท ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประมูลด้วยระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) โดยผลราคาลดลงเฉลี่ย 0.08% จากราคากลางเท่ากันทั้ง 2 โครงการ และเป็นการลดราคาที่ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าก่อสร้าง
รวมไปถึงการกำหนด TOR ที่เอื้อกับผู้รับเหมาบางกลุ่ม เช่น การรวมงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณประมูลอยู่ในสัญญาเดียวกับงานโยธา จากเดิมที่ รฟท.แยกประมูลสัญญางานโยธาและสัญญางานระบบอาณัติสัญญาณ ซึ่งการแยกสัญญาจะป้องกันการล็อกสเปก และทำให้มูลค่าโครงการแต่ละสัญญาไม่สูงเกินไปอีกด้วย
และเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ลับ ที่ 147/2564 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการประกวดราคาก่อสร้างทางรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน โดยมีนายดนัย มู่สา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการร่วม ได้แก่ นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง, นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้แทนจากสำนักงบประมาณ, วิศกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ, สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
นายดนัย มู่สา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฯ ได้มีหนังสือถึง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี รวมถึงนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ และนายสาวิทย์ แก้วหวาน เพื่อเชิญชี้แจงข้อมูลประกอบกับข้อร้องเรียน ในวันที่ 5 ก.ค. 2564 เวลา 09.30 น. ห้อง 109 ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
@เปิดพิรุธ TOR ยื่นอาณัติสัญญาณ 2 ยี่ห้อเอื้อรับเหมา
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นอกจากประเด็นการรวมงานโยธาผูกกับงานระบบอาณัติสัญญาณแล้ว ยังมีข้อสังเกตเรื่องการกำหนดให้ยื่นข้อเสนอผลิตภัณฑ์อาณัติสัญญาณ โดยใน TOR ข้อ 17 ที่กำหนดให้ยื่นเสนอผลิตภัณฑ์ สำหรับ 3 ระบบหลักของงานอาณัติสัญญาณ ได้แก่ 1. ระบบบังคับสัมพันธ์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CBI System) 2. ระบบป้องกันเหตุอันตรายของขบวนรถโดยอัตโนมัติ (ATP) ตามมาตรฐาน ETCS Level 1 และ 3. ระบบควบคุมการเดินรถทางไกล (CTC System)
โดยให้ยื่นเสนอผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 2 ผลิตภัณฑ์สำหรับแต่ละระบบ พร้อมยื่นหนังสือรับรองผลการใช้งานผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ให้แก่โครงการ
ซึ่งประมาณปี 2550 เคยมีกรณีบริษัทผู้รับเหมายื่นประมูลโดยเสนอรางรถไฟจาก 5 โรงงาน ซึ่งคณะกรรมการประกวดราคาฯ มีมติให้บริษัทดังกล่าวชนะประมูล ขณะที่ รฟท.ได้หารือไปที่กรมบัญชีกลาง ซึ่งกรมบัญชีกลางมีมติว่า รฟท.ไม่สามารถดำเนินการโดยผู้รับเหมาต้องเสนอเพียงโรงงานเดียว เพราะการเสนอมากกว่า 1 โรงงานเป็นการเสนอแบบทางเลือก ขณะที่ผู้รับเหมารายอื่นเสนอ 1 โรงงาน
ส่วนการประมูลรถไฟทางคู่ สายเหนือ และสายอีสาน เขียน TOR ให้ทุกบริษัทยื่นเสนออาณัติสัญญาณได้ 2 ยี่ห้อ เป็นการเสนอแบบเผื่อเลือกเช่นกัน ซึ่งผลประโยชน์จะตกแก่บริษัท ส่วน รฟท.เสียโอกาสที่จะได้ประโยชน์สูงสุดเนื่องจากราคาอาณัติสัญญาณแต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน เมื่อบริษัทชนะประมูลจะเลือกยี่ห้อที่ราคาถูกกว่าให้ รฟท.
ดังนั้น การที่กรณีแบบนี้กรมบัญชีกลางเคยมีข้อวินิจฉัยไว้แล้ว ดังนั้น การกำหนด TOR ให้ยื่นระบบอาณัติสัญญาณได้ 2 ยี่ห้อ อาจจะเป็นอีกเงื่อนไขที่ทำให้ รฟท.เสียประโยชน์ และขัดกับแนวทางที่เคยดำเนินการมา ส่วนการตั้งกรรมการตรวจสอบการประมูลโครงการฯ ยังต้องจับตาดูกันต่อไป ว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร หรืออาจเป็นเพียงการซื้อเวลาของนักการเมืองเท่านั้น
ด้าน นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพฯ รฟท. กล่าวว่า การประมูลรถไฟทางคู่ สายหนือ และสายอีสาน มีข้อพิรุธหลายประการ ซึ่งคาดหวังว่าคณะกรรมการฯ ที่นายกฯ ตั้งขึ้นจะตรวจสอบและทำให้เกิดความโปร่งใส สามารถตอบข้อสงสัยสังคมได้ และหากต้องยกเลิกประมูลและปรับปรุง TOR ใหม่ให้เหมาะสม เช่น แยกงานระบบอาณัติสัญญาณออกจากงานโยธา และแบ่งสัญญาก่อสร้างให้มากกว่า 3 สัญญา เพื่อให้เหลือมูลค่าสัญญาละ 6-7 พันล้านบาท ผู้รับเหมาขนาดกลางจะเข้าร่วมได้หลายรายขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ทำให้โครงการล่าช้า ดังนั้นควรเลือกแนวทางที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศและของประชาชนทุกคน