xs
xsm
sm
md
lg

การบินฟุบ! ทอท.ขาดทุนกว่า 7 พันล้านช่วง 6 เดือนปี 64-ลั่นไม่ชะลอลงทุนขยายสนามบิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทอท.ผ่าน 8 เดือนปี 64 ผู้โดยสารหาย 71% ขาดทุนรอบ 6 เดือนกว่า 7 พันล้าน ยังเดินหน้าลงทุนพัฒนาขีดความสามารถสนามบิน 6 แห่ง สร้างเทอร์มินัลสุวรรณภูมิเพิ่ม ปรับใช้ไอทีบริการ เตรียมรับการบิน-ผู้โดยสารฟื้นตัว

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ สนามบินทั้ง 6 แห่ง ในรอบ 8 เดือน ของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค. 2563-พ.ค. 2564) มีผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 18.33 ล้านคน ลดลง 71.5% เป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนเที่ยวบินที่มีประมาณ 206,000 เที่ยวบิน ลดลง 51.6% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (มีผู้โดยสาร 64.20 ล้านคน และเที่ยวบิน 425,800 เที่ยวบิน)

เนื่องจากปีงบประมาณ 2563 ทอท.ได้ประโยชน์จากไตรมาสแรก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วง Golden Months แต่ในปีงบประมาณ 2564 นโยบายภาครัฐของไทยและหลายประเทศสำคัญของโลกยังคงมาตรการการจำกัดการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศตลอดทั้งปี เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และจากการแพร่ระบาดฯ ระลอก 2 และ 3 ส่งผลให้การฟื้นตัวของการเดินทางภายในประเทศเกิดการปรับตัวลง

จากปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินที่ลดลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานด้านการเงินของ ทอท.รอบ 6 เดือนของปีงบประมาณ 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2563-31 มี.ค. 2564 (งบการเงินเฉพาะบริษัท) ทอท. มีรายได้จากการขายหรือการให้บริการ 3,748.03 ล้านบาท และรายได้อื่น 792.13 ล้านบาท รวมรายได้คิดเป็น 4,540.16 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่าย 13,464.40 ล้านบาท และรายได้ภาษีเงินได้ 1,857.30 ล้านบาท จึงทำให้มีผลขาดทุนสำหรับงวดดังกล่าวจำนวน 7,066.94 ล้านบาท

สำหรับโครงการ Phuket Sandbox ซึ่งเริ่มวันที่ 1 ก.ค. 2564 ทอท.มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกและเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำแก่ผู้โดยสาร เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการรับนักท่องเที่ยว กระบวนการตรวจเอกสารและหนังสือเดินทาง การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 รวมทั้งได้เน้นย้ำในเรื่องการรักษาความสะอาด การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและติดตามเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่ง ทอท.และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันฝึกซ้อมกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าและขาออกระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการ

@ศึกษาใช้เทคโนโลยีบริหารและให้บริการผู้โดยสาร

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบินมากที่สุด ซึ่งทอท.ได้มีการประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์โควิดหลังจากสิ้นสุด ทั้งในด้านรูปแบบการเดินทาง พฤติกรรมผู้โดยสาร ทิศทางอุตสากรรมการท่องเที่ยวและการบิน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวกผู้โดยสารเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อจากการเดินทางทางอากาศ และยังสอดคล้องกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) และสภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (Airport Council International : ACI) ที่ได้ร่วมมือกันจัดทำโครงการ NEXTT (New Experience Travel Technologies) เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศ

เพื่อปรับกลยุทธ์การบริหารองค์กรให้สามารถฟื้นตัวให้ได้เร็วที่สุด โดยที่ผ่านมาได้เริ่มศึกษา พัฒนา และต่อยอดเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารและลดความเสี่ยงที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำมาใช้ในสนามบินบางแห่งเพื่อนำร่องและขยายผลให้ครบทุกสนามบินในอนาคต ได้แก่

1. ระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System : CUPPS) เริ่มนำร่องที่สนามบินสุวรรณภูมิแห่งแรก ซึ่งเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกผู้โดยสารไม่ต้องต่อแถวเช็กอินและโหลดสัมภาระ ประกอบด้วย ระบบ CUSS (Common Use Self Service) การเช็กอินผ่านเครื่อง Kiosk โดยในอนาคตจะนำเทคโนโลยี Bio Metric เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการเช็กอิน ซึ่งผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องใช้บัตรโดยสารในการยืนยันตัวตน ในพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจบัตรโดยสารก่อนขึ้นเครื่อง พร้อมทั้งระบบ CUBD (Common Use Bag Drop) สำหรับผู้โดยสารโหลดสัมภาระได้ด้วยตนเอง

2. ระบบติดตามและตรวจนับความหนาแน่นผู้โดยสารแบบ Real time (Passenger Tracking) เริ่มนำร่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต โดยระบบนี้จะแสดงระยะเวลาที่ผู้โดยสารต้องรอคอยเข้าคิวในพื้นที่ตรวจบัตรโดยสาร ขั้นตอนตรวจค้นผู้โดยสาร และขั้นตอนตรวจหนังสือเดินทาง โดยสามารถตรวจสอบสถานะการรอคอยคิวผ่านจอมอนิเตอร์แบบ Real time ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารสามารถประเมินเวลาในการรอคอยในพื้นที่นั้นๆ อีกทั้งยังสามารถประเมินเวลาการมาใช้บริการภายในสนามบินได้ด้วยตนเอง โดยสามารถเช็กได้ผ่าน AOT Airports Application

ทั้งนี้ ระบบยังสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่สนามบินในเรื่องของความหนาแน่นในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกระจายผู้โดยสารไปยังจุดให้บริการที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า และช่วยในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ได้ด้วย

3. ระบบจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์แบบอัตโนมัติ (Smart Carpark) เป็นการให้บริการผู้โดยสารที่เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณอาคารจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต โดยผู้ใช้งานดำเนินการด้วยตนเองตั้งแต่การรับบัตรจอดรถ ค้นหาพื้นที่จอดรถ พร้อมแสดงจำนวนและตำแหน่งของช่องว่างที่สามารถจอดได้ ทั้งนี้ ระบบจะจดจำตำแหน่งที่จอดรถ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถค้นหารถของตนเองจากทะเบียนรถได้ที่ตู้ Kiosk เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการติดต่อและสัมผัสร่วมระหว่างผู้ใช้งานกับเจ้าหน้าที่

@เร่งสร้างเทอร์มินัลสุวรรณภูมิเพิ่ม ขยายขีดความสามารถ

นายนิตินัยกล่าวว่า แม้ ทอท.จะเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ การพัฒนาสนามบินเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยโครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 มีความก้าวหน้ามากกว่า 95% โดยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) โดยพิจารณาจากทิศทางการฟื้นตัวของปริมาณการจราจรทางอากาศและความต้องการเดินทางในอนาคต ควบคู่กับการบริหารจัดการอาคารผู้โดยสารหลัก (Main Terminal) โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ให้ความสำคัญในเรื่องระดับการบริการ (Level of Service) ที่เหมาะสม และการรองรับรูปแบบการเดินทางวิถีใหม่ (New Normal) ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับแผนบริหารจัดการฝูงบินของสายการบินที่มีฐานปฏิบัติการที่สุวรรณภูมิด้วย

@ ขยายดอนเมืองเฟส 3 รับ 40 ล้านคน

สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินดอนเมืองระยะที่ 3 เพื่อเป็นการคืนขีดความสามารถเดิมและพัฒนาเต็มศักยภาพของพื้นที่ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 40 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) กำหนด หลังจากนั้นจะจัดส่งรายงานให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณา

ขณะเดียวกัน ทอท.ได้ดำเนินการคู่ขนานไปกับการขออนุมัติงบประมาณในโครงการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงเอกสารโครงการเพื่อเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการจ้างออกแบบได้ในปี 2565

นอกจากนี้ สนามบินดอนเมืองอยู่ระหว่างการก่อสร้าง Taxi Drop Lane เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดหน้าชานชาลา โดยเพิ่มช่องจราจรจำนวน 2 เลน แยกเฉพาะรถแท็กซี่ที่เข้ามาส่งผู้โดยสาร พร้อมสร้างหลังคาคลุมชานชาลา มีทางลาดเลื่อนอัตโนมัติ ติดกล้องวงจรปิด และระบบปรับอากาศ 2 จุด คือ บริเวณหน้าชานชาลาอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ประตู 9-10 และประตู 14-15
ส่วนของโครงการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ ระยะที่ 1 เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 16.5 ล้านคน อยู่ระหว่างจัดหาที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียด จะใช้เวลาออกแบบประมาณ 1 ปี และอยู่ระหว่างเสนอรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับแก้ไขให้แก่ คชก. โดยคาดว่าจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในช่วงต้นปี 2565 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี คาดว่าสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569

ส่วนการพัฒนาสนามบินอีก 3 แห่ง คือ สนามบินเชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ ยังคงเดินหน้าตามแผนแม่บท

ด้านการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกิจการที่ไม่เกี่ยวกับการบิน (Non-Aeronautical Revenue) นั้น นายนิตินัยกล่าวว่า มีแนวคิดต่อยอดพัฒนาทรัพย์สิน (ที่ราชพัสดุ) ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ ซึ่ง ทอท.ได้มีการประชาสัมพันธ์ทรัพย์สิน (ที่ราชพัสดุ) ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของ ทอท. กลุ่มไลน์ผู้ประกอบการของ ทอท. เป็นต้น

นอกจากนั้น ได้เตรียมความพร้อมของทรัพย์สินตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม เช่น การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน การกำหนดค่าตอบแทน การจัดทำร่างประกาศเชิญชวน เป็นต้น รวมทั้งยังได้ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุจากเดิมสิ้นสุดในปีงบประมาณ 2575 เป็นสิ้นสุดในปีงบประมาณ 2595

และได้ประสานผู้ประกอบการเพื่อสอบถามความสนใจลงทุนพัฒนาและใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ทั้งโครงการขนาดเล็กและขนาดใหญ่ร่วมกับหุ้นส่วนทางธุรกิจตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 หรือการพัฒนาร่วมกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ ทอท. แปลงถนนวัดศรีวารีน้อย 723 ไร่ มีแผนที่จะพัฒนาให้เป็น “ศูนย์บริการและสนับสนุนกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” บนเนื้อที่รวมประมาณ 560-1-99 ไร่ เพื่อดำเนินโครงการ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการประกอบกิจการท่าอากาศยาน และการขนส่งทางอากาศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่โครงการเพื่อเชื่อมต่อสู่สนามบินและพื้นที่บริเวณโดยรอบต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น