ราช กรุ๊ปมั่นใจไตรมาส 2/64 ได้ข้อสรุปการเจรจาร่วมทุนหรือซื้อกิจการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องพลังงานหลายโครงการ หนุนผลดำเนินงานไตรมาส 2 ต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1/64 โกยกำไร 2,088 ล้านบาท โตขึ้น 53% มั่นใจปีนี้บรรลุเป้าหมาย 700 เมกะวัตต์ พร้อมลงทุนธุรกิจใหม่
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2564 บริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปการเจรจาร่วมทุนและเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิสและพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้หลายโครงการ
มั่นใจว่าเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ในปีนี้ไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ทำได้อย่างแน่นอน ทำให้ทั้งปีนี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 8,874 เมกะวัตต์ โดยบริษัทตั้งงบลงทุนในปี 2564 อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนโครงการใหม่ 7,000 ล้านบาท และลงทุนโครงการเดิม 8,000 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 1/2564 บริษัทมีการใช้เงินลงทุนแล้ว 3,257 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินลงทุนซื้อหุ้นร้อยละ 15.53 ของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และโครงการพลังงานลมเน็กส์ซีฟ เบนเตร ในเวียดนาม เป็นต้น
ส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) มาใช้กับโรงไฟฟ้าหินกองนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับซัพพลายเออร์หลายรายเพื่อนำเข้ามาป้อนโรงไฟฟ้าหินกองที่จะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในปี2567และปี2568 โดยบริษัทฯ คาดจะใช้ LNG ประมาณ 1.4 ล้านตันต่อปี จะมีทั้งรูปแบบสัญญาระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยง และราคาตลาดจร(Spot) ควบคู่กันไปตามราคาที่เหมาะสม
ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู การก่อสร้างงานโยธาและงานระบบไฟฟ้าแล้วเสร็จคาดว่าจะเดินรถไฟฟ้าได้เต็มรูปแบบในปี 2565 โดยรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจะทดลองวิ่งได้ในสิ้นปีนี้ ส่วนสายสีชมพูทดลองวิ่งในต้นปี 2565
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนขยายสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ได้ลงนามสัญญาร่วมทุนเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 64 ใช้เงินลงทุน 3.4 พันล้านบาท
นายกิจจากล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้มุ่งเน้นการบริหารจัดการใน 3 ประเด็นหลักควบคู่กัน ทั้งการบริหารความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ที่ได้ลงทุนแล้ว เดินหน้าโครงการเป้าหมายที่มีอยู่ในมือเพื่อร่วมทุนให้สำเร็จ และการบริหารวางแผนทางการเงินให้รัดกุมเพื่อควบคุมต้นทุนและรักษาฐานะทางการเงินให้มั่นคงสามารถรองรับแผนการขยายการลงทุนของบริษัทฯ ได้ บริษัทฯ คาดว่ากำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนปีนี้จะเพิ่มขึ้นถึง 8,874 เมกะวัตต์ โดยกำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นเป็น 7,215 เมกะวัตต์ ซึ่งปีนี้มีโรงไฟฟ้า 4 แห่ง กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 537.04 เมกะวัตต์ เริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่าย ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมยานดิน ในออสเตรเลีย กำลังการผลิต 214.2 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 70) โรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเล็กเตอร์ ในออสเตรเลีย กำลังการผลิต 226.8 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งหมด) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในอินโดนีเซีย กำลังการผลิต 296.23 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 49) และโรงไฟฟ้าพลังงานลม Ecowin ในเวียดนาม กำลังการผลิต 29.7 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 51) บริษัทฯ คาดหวังว่าทั้ง 4 โครงการนี้จะช่วยเสริมหนุนรายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ในปีนี้บริษัทฯ ยังให้น้ำหนักการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเป็นสำคัญ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนในโครงการประเภทเชื้อเพลิงหลักในต่างประเทศ กำลังผลิตรวมไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ และโครงการประเภทพลังงานทดแทนในต่างประเทศอีกไม่น้อยกว่า 200 เมกะวัตต์ ส่วนการลงทุนในประเทศ บริษัทฯ ได้เข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจำนวน 6 โครงการ โครงการละ 3 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้ ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะเข้าร่วมประมูล 8 โครงการ แต่อีก 2 โครงการติดปัญหาสายส่งจึงยุติไป นอกจากนี้ ยังแสวงหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต เพื่อเสริมสร้างฐานธุรกิจของบริษัทฯ ให้มั่นคงยิ่งขึ้น”
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,087.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.4 จากงวดเดียวกันของปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 1,360.82 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นของบริษัทย่อยในออสเตรเลีย ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการยานดินและโครงการคอลเล็กเตอร์ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่าย อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Thang Long เวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 8,701.32 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจำนวน 8,569.09 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนรายได้ของกลุ่มโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักร้อยละ 85 และกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนร้อยละ 15 และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และอื่นๆ จำนวน 132.23 ล้านบาท
ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 116,915.01 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 51,951.36 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 64,963.65 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.54 เท่า อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) 4 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นร้อยละ 9.39