การตลาด - บิ๊กค้าปลีกภาคเอกชนตบเท้ากางโรดแมป รับลูกมาตรการทีมไทยแลนด์เพื่อต่อสู้กับโควิด เสนอพื้นที่ให้เป็นศูนย์ฉีดวัคซีน และแผนการสื่อสารความเข้าใจเรื่องวัคซีน พร้อมแผนการในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการช่วยคู่ค้า
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 นี้ได้สร้างความเสียหายอย่างมากทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศ
ล่าสุดคณะกรรมการหอการค้าไทยได้นำเสนอแนวทางที่ภาคเอกชนต้องการมีส่วนร่วมในการกระจายวัคซีนและวัคซีนทางเลือกให้แก่ภาครัฐบาลได้รับทราบ และในที่สุดรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็ได้เห็นชอบและให้มีการตั้งทีมไทยแลนด์ขึ้นมาร่วมกับเอกชน ในนามทีมไทยแลนด์เพื่อร่วมกันต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย 1. ทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน
2. ทีมการสื่อสาร ได้สนับสนุนการทำงานด้านการสื่อสารของภาครัฐเพื่อสร้างความเข้าใจและส่งเสริมให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน 3. ทีมด้านเทคโนโลยีและระบบ และ 4. ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ภาคค้าปลีกรายใหญ่ของเอกชนก็มีการเตรียมพร้อมและวางแผนในการเข้าร่วมมาตรการนี้อย่างเร่งด่วน
*** ซีอาร์ซี เสนอแผนจดทำ Sand Box
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ซีอาร์ซีได้จัดทำโครงการ ‘CRC รวมพลัง กู้วิกฤตโควิด-19’ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจใน 4 มิติหลัก คือ
1. สร้างต้นแบบระบบการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และครบวงจร พร้อมต่อยอดไปทั่วประเทศ โดยร่วมกับสภาหอการค้าไทยนำเสนอต้นแบบระบบการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และครบวงจร (Total solution) พร้อมทั้งพื้นที่ธุรกิจในเครือฯ ได้แก่ พื้นที่ภายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ไทวัสดุ และท็อปส์ พลาซ่า ทั้งหมด 109 แห่งทั่วประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ภาครัฐในการกระจายวัคซีนเข้าไปหาคนไทยอย่างทั่วถึง คาดว่าในแต่ละพื้นที่จะสามารถให้บริการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 1,500-2,000 คนต่อวัน
2. สร้างต้นแบบโมเดล เพื่อเป็นแต้มต่อให้กับ SME ในการเข้าถึง Soft Loan
เซ็นทรัล รีเทล ร่วมกับธนาคารพาณิชย์จัดทำโครงการต้นแบบ Sand Box ในเฟสแรกเพื่อเสริมสภาพคล่อง SME ขนาดเล็กที่มียอดวงเงินกู้ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ล่าสุด เซ็นทรัล รีเทลได้ร่วมนำเสนอรายชื่อ และข้อมูลให้ธนาคารอนุมัติกว่า 6,000 ราย โดยคาดว่า 1,000 รายแรกจะได้รับการอนุมัติ Soft Loan ภายในอาทิตย์หน้า โดยมากกว่า 70% ของทั้ง 6,000 รายยังไม่เคยเข้าถึง Soft Loan มาก่อน และเราจะทำเฟสต่อไปสำหรับ SME ที่มียอดวงเงินกู้มากกว่า 5 ล้านบาท พร้อมขยายผลความสำเร็จจากโครงการต้นแบบนี้ไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ผ่านทางสมาคมค้าปลีกไทย สมาคมหอการค้าไทย สมาคมศูนย์การค้า และสมาคมโรงแรม เป็นต้น เพื่อให้ SME ได้รับอนุมัติสินเชื่อ Soft Loan มากกว่า 100,000 ราย เพื่อเสริมสภาพคล่อง และเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจต่อไป
3. ยกระดับมาตรฐานด้านสุขภาพ และสาธารณสุข เช่น บริจาคกล่องกระดาษลูกฟูก เพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นเตียงสนาม 6,000 เตียง และเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนร่วมกันบริจาคอีก 1,000 เตียง เพื่อรวบรวมให้ได้ครบ 7,000 เตียงภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2564 โดยร่วมกับ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจีพี บริจาคอาหาร และสิ่งของจำเป็นให้แก่โรงพยาบาลสนาม และจุดฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง, บริจาคเจลแอลกอฮอล์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานภายใต้สังกัดซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมและเฝ้าระวังสูงในกว่า 20 จังหวัด และจะมีแผนขยายความช่วยเหลือด้านเจลแอลกอฮอล์ไปยังภาคส่วนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
บริจาคเงินให้แพทยสมาคมเพื่อการทำวิจัยโควิด-19 โดยร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัล จัดทำโครงการ “ทำด้วยใจ ไฟท์โควิด-19” (Help Thai Fight COVID-19) มอบเงินบริจาคผ่านทางแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดขั้นสูงสุด โดยห้างร้านและศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ทั้งหมดในเครือเซ็นทรัล รีเทล คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานทุกคนมากที่สุด ในส่วนของพนักงาน เซ็นทรัล รีเทล ได้สนับสนุนประกันสุขภาพโควิด-19 ให้พนักงานกว่า 60,000 คน พร้อมทั้งออกนโยบายการ Work from Home เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ให้ได้มากที่สุด
4. รวมพลังคนไทย ช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน ผลักดันให้เกิดพลังสังคม โดยร่วมกับภาคเอกชน และประชาชนรวมพลังกันเพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการใช้สินค้าไทยและธุรกิจของคนไทย
*** ซีพีเอ็นเสนอพื้นที่ 23 สาขาฉีดวัคซีน
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและรวดเร็วเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติและสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ ดังนั้น ในสถานการณ์นี้เราพร้อมที่จะช่วยอำนวยความสะดวก โดยเสนอให้ใช้ศูนย์การค้าของเรา ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่ บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรการสะอาดปลอดภัย ไม่แออัด สะดวก และกระจายอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นสถานที่สนับสนุนกระบวนการกระจายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนโรดแมปช่วยลดภาระภาครัฐในด้านสุขภาพของคนไทย พร้อมช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ และฟื้นฟูความเชื่อมั่น เดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศต่อไปเพื่อผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันใน 3 แนวทาง ได้แก่
1. แนวทางเร่งด่วน-สนับสนุนพื้นที่ศูนย์การค้าเพื่อเร่งฉีดวัคซีน
โดยการเสนอให้ใช้พื้นที่ศูนย์การค้าของเรารวม 23 สาขา (จาก 33 สาขาทั่วประเทศ) ที่มีศักยภาพในการให้บริการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ เรามีต้นแบบการใช้ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ฉีดวัคซีนเป็นแห่งแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2564 ที่เซ็นทรัล ระยอง โดยร่วมกับโรงพยาบาลระยอง
ล่าสุด เซ็นทรัล สมุย ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 4 จุดที่ให้บริการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้แก่ประชาชนบนเกาะสมุย เมื่อวันที่ 23-27 เม.ย. 64 โดยมีเจ้าหน้าที่ของภาครัฐและเอกชนสลับหมุนเวียนกันมาให้บริการ เช่น โรงพยาบาลเกาะสมุย, โรงพยาบาลกรุงเทพ สมุย และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวสมุย ซึ่งเราได้นำเอาต้นแบบการใช้พื้นที่ศูนย์การค้าเป็นพื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีนไปก่อนหน้านี้แล้วที่เซ็นทรัล ระยอง เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถนำไปปรับใช้กับศูนย์การค้าในจังหวัดอื่นๆ ได้ทันที ในขณะเดียวกัน เราพร้อมให้ความร่วมมือภาครัฐในการดำเนินการในศูนย์การค้าที่มีศักยภาพ อาทิ จังหวัดนนทบุรี ที่เราพร้อมเสนอให้ใช้พื้นที่ 3 สาขาที่เรามี ได้แก่ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ และเซ็นทรัล เวสต์เกต เป็นต้น”
อีกทั้งมีแผนสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้พนักงานบริษัทและร้านค้าในศูนย์การค้า นำร่องฉีดวัคซีนให้พนักงานที่ให้บริการลูกค้าของเซ็นทรัล ภูเก็ต ไปแล้ว ซึ่ง 85% ของพนักงานจะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ภายในกลางเดือน พ.ค. 64 นี้ นับเป็นอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่มากกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่กำหนดไว้ที่ 70% เพื่อเตรียมเป็นศูนย์การค้าแรกของไทยที่พนักงานให้บริการลูกค้าได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 การร่วมมือกับจังหวัดภูเก็ต เป็น Role Model ในการเร่งฟื้นภาคค้าปลีกและการท่องเที่ยวต่อไปหลังสถานการณ์คลี่คลาย
โดยเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยประเทศไปสู่จุดที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ Herd Immunity ให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติและเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความพร้อมและจุดแข็งในด้านต่างๆ ได้แก่
ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนาบริหารจัดการศูนย์การค้า 33 แห่ง ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 สาขา และต่างจังหวัด 18 สาขา ในทุกสาขามีพื้นที่ส่วนกลาง หรือ Convention Hall ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถรองรับเจ้าหน้าที่และประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งมีการบริหาร Social Distancing อย่างเป็นระบบ
2. แนวทางประคับประคองคนไทย ช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ในสถานการณ์ยังวิกฤต
กลุ่มคู่ค้าร้านค้าของศูนย์การค้าที่มีกว่า 15,000 รายทั่วประเทศ : ช่วยเหลือดูแลค่าเช่าตามความเหมาะสมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 และเปิดโอกาสให้เข้าถึงช่องทางการขายแบบ Omnichannel เช่น Chat & Shop, Drive-Thru และ Take Away Delivery และแคมเปญกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง เปิดพื้นที่การขายแก่ผู้ได้รับผลกระทบฟรีกว่า 40,000 ตร.ม.เพื่อช่วยเหลือ SMEs, เกษตรกร และอาชีพต่างๆ ด้วยการจัดงาน ตลาดผลไม้รวมใจ, Revival Market อย่างต่อเนื่อง
3. แนวทางฟื้นฟูความเชื่อมั่น กระตุ้นเงินสะพัดภายในประเทศ ด้วยการลดค่าครองชีพผู้บริโภค ผลักดันแคมเปญใหญ่ทั่วประเทศ ’ไทยช่วยไทย รวมใจช้อป’ ส่งเสริมการจับจ่ายในประเทศ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 33 สาขาทั่วประเทศ อีกทั้งวางแผนการตลาดแบบ omnichannel ต่อเนื่องอีกกว่า 100 แคมเปญครอบคลุมตลอด 3 ไตรมาสถึงสิ้นปี 2564 รวมทั้งจับมือธุรกิจแบบ Cross-Value Chain : เร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว โรงแรมและการบริการทั้งระบบ กระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคต่อเนื่อง
*** โลตัสเสนอพื้นที่ 50 สาขา พร้อมแผนสื่อสาร
นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “โลตัสได้เสนอพื้นที่ 50 สาขาทั่วประเทศเป็นสถานที่ฉีดวัคซีน ซึ่งสาขาขนาดใหญ่ของเรามีความพร้อมและเหมาะสม เพราะมีพื้นที่กว้างขวางทั้งภายในและภายนอกอาคาร ทำให้สามารถบริหารจัดการไม่ให้มีความแออัด นอกจากนั้น ยังเดินทางมาสะดวก รวมทั้งเรายังมีเพื่อนพนักงานที่สามารถให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของภาครัฐ
ในเบื้องต้น โลตัส สาขามีนบุรีได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 14 สถานที่สำหรับนำร่องฉีดวัคซีนในกรุงเทพมหานคร คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นดำเนินการได้ในเดือนมิถุนายนนี้ นอกเหนือจากคณะทำงานทีม A สนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีนแล้ว โลตัสยังสนับสนุนคณะทำงานทีม B เพื่อใช้สื่อและช่องทางของเราทั้งออนไลน์และในสาขาทั่วประเทศช่วยสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนให้แก่ลูกค้าและประชาชนอีกด้วย
นอกจากนั้นยังร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ขยายเวลาแคมเปญราคามหาชน ตัดและตรึงราคาสินค้าที่จำเป็นต่อค่าครองชีพ 180 รายการ จนถึง 30 มิถุนายน 2564 ที่โลตัสสาขาใหญ่ และสาขาเล็กกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ และโลตัส ชอปออนไลน์
รวมทั้งบริจาคสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาล ชุมชน และจุดคัดกรองกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และเปิดตัวโครงการ “สะพานบุญ” ให้ลูกค้าและประชาชนผู้มีจิตศรัทธา สามารถร่วมบริจาคสิ่งของให้โรงพยาบาลสนามได้ โดยสั่งสินค้าออนไลน์ผ่านโลตัส และจัดส่งฟรีให้แก่โรงพยาบาลสนามทุกวัน
ร่วมมือกับ SCGP เปิดจุดรับกล่องและลังกระดาษในโลตัส สาขาใหญ่ทุกสาขา เพื่อนำมารีไซเคิลเป็นเตียงสนามกระดาษ SCGP และสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จัด “มุมสินค้า SME ไทย ถูกใจมหาชน” ในสาขายังเตรียมจัด SME online business matching ทุกเดือน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SME เจรจาการค้าโดยตรงกับทีมงานโลตัส เพื่อจำหน่ายสินค้าผ่านสาขาทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์
*** บิ๊กซี เร่งช่วยบริจาคโลหิต
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 การบริจาคโลหิตลดลงเรื่อยๆ จนทำให้โลหิตในประเทศไทยขาดแคลนขั้นวิกฤตทั่วประเทศ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ประสบปัญหาเลือดไม่พอจ่าย และไม่มีเลือดรักษาเพียงพอใช้แก่ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ พบว่าจำนวนผู้บริจาคลดลง 50% และด้วยหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ถูกยกเลิก รวมถึงประชาชนกังวลเรื่องการเดินทางไปบริจาคโลหิต ทางกลุ่มเห็นว่าสามารถใช้สาขาบิ๊กซีช่วยอำนวยความสะดวกและยังพร้อมเป็นสะพานบุญให้แก่ลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการที่บิ๊กซี
“ที่ผ่านมากลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จึงได้ร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัด และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย สนับสนุนพื้นที่จัดหน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคโลหิต ณ ศูนย์การค้าบิ๊กซี ทั้งสาขาในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด และเป็นอีกจุดรับบริจาคโลหิตจุดหนึ่งที่ให้บุคคลภายนอกที่สนใจมาร่วมบริจาคโลหิต โดยนำร่องบิ๊กซี 6 สาขา บิ๊กซีสาขาแจ้งวัฒนะ สาขารัชดาภิเษก สาขารัตนาธิเบศร์ สาขาบางพลี สาขาสุขสวัสดิ์ และสาขารังสิต ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 64 ที่ผ่านมา”
“ทางศูนย์การค้าบิ๊กซี ร่วมมือกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดสรรพื้นที่ให้มีระยะห่างอย่างเหมาะสมในการบริจาคโลหิตในช่วงโควิด-19 ทั้งนี้ เพิ่มมาตรฐานการคัดกรองด้วยการสอบถามประวัติสุขภาพ และประวัติการเดินทางอย่างละเอียด รวมถึงผู้บริจาคต้องคัดกรองตนเองก่อนมาบริจาคโลหิต โดยผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดไวรัสโควิด-19 หรือผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ให้งดบริจาคโลหิต 4 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่หายจากโรค และไม่มีอาการใดๆ หลงเหลืออยู่ ให้งดบริจาคโลหิต 3 เดือน”