xs
xsm
sm
md
lg

สารเร่งเนื้อแดงในหมูมะกัน..ไทยอย่ายอมเปิดรับระเบิดเวลาทำลายสุขภาพคนไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เปิดเผยรายงานประเมินการกีดกันทางการค้ากับประเทศคู่ค้า ประจำปี 2564 (2021 National Trade Estimate Report on FOREIGN TRADE BARRIERS) หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ที่สหรัฐฯ ระบุว่ามีรายการที่เข้าข่ายการกีดกันทางการค้า โดยยกประเด็นไทยผูกพันอัตราภาษีกับองค์การการค้าโลก (WTO) ที่ 75.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 27.9% ซี่งกลุ่มสินค้าที่มีอัตราสูงนี้ถือเป็นการขัดขวางการเข้าถึงตลาดของสินค้าสหรัฐฯ หลายรายการ

นอกจากนี้ ยังระบุถึงการห้ามนำเข้า จำหน่าย และมีปนเปื้อนในอาหารจาก 3 สารเคมี พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ที่กำหนดให้เป็นบัญชีสารพิษอันตราย ซึ่งจะส่งผลต่อการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ, การห้ามนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศที่อนุญาตให้มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างสหรัฐฯ, การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่ไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตามมอง (Watch List in the Special 301 Report) และยังอ้างความเป็นห่วงในกฎหมายหลายฉบับของไทยที่เป็นอุปสรรคการค้า

หัวข้อที่น่าติดตามและเรียกว่าเป็นมหากาพย์ระหว่างสหรัฐฯ กับไทยหนีไม่พ้นเรื่อง “ห้ามนำเข้าหมูสหรัฐฯ ที่มีสารเร่งเนื้อแดง” ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าวระบุไว้ว่า ไทยมีการเข้มงวดการนำเข้าเนื้อสุกรนับตั้งแต่ปี 2555 หลังจากที่หน่วยงานมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ หรือโคเด็กซ์ (CODEX) กำหนดมาตรฐานห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในหมู โดยไทยได้นำประเด็นนี้มาเป็นเหตุผลห้ามนำเข้าเนื้อหมูจากประเทศที่อนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงหมูได้ หนึ่งในนั้นคือสหรัฐฯ ที่เกษตรกรสามารถใช้สารนี้ได้อย่างอิสระ

เท่ากับว่าไทยยืนหยัดคัดค้านเรื่องนี้มาตลอดเวลากว่า 9 ปี เพราะไม่ต้องการให้ชิ้นส่วนและเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ ที่อุดมไปด้วยสารเร่งเนื้อแดงเข้ามาทำร้ายสุขภาพคนไทยและทำลายอุตสาหกรรมหมูไทย เพราะทั้งหัว ขา โดยเฉพาะเครื่องในนั้นมีการตกค้างของสารเร่งเนื้อแดง และทั้งหมดคือส่วนที่คนอเมริกันไม่กิน จึงไม่ต่างจากการเปิดรับขยะของคนอเมริกัน และการเลี้ยงหมูของสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนต่ำกว่าไทยมากกว่าครึ่งนั้น ย่อมกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของหมูไทยอย่างแน่นอน


ความพยายามของไทยด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยทางอาหาร ทำให้สุดท้ายสหรัฐฯ ต้องพับแผนต่อสู้มาตลอด จนกระทั่งครั้งนี้ภายใต้การนำของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 รุกหนัก โดยอ้างถึงปี 2562 ที่ไทยและสหรัฐฯ มีข้อตกลงร่วมกันในการทบทวนการจัดการเรื่องเกณฑ์การใช้สารเร่งเนื้อแดง แม้ว่ากระบวนการจะขาดความต่อเนื่อง จนถึงเดือนตุลาคม 2563 ที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมป์ ได้เพิกถอนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ CGP กับไทย ในฐานะประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ โดยอ้างเรื่องการกีดกันหมูสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการตัดสินใจในครั้งนี้

การใช้เรื่องการตัดสิทธิ GSP เป็นเครื่องมือกดดันไทยอย่างหนักในครั้งนั้น ไม่ทำให้ไทยหวั่นวิตก รัฐบาลยังคงเดินหน้าคัดค้าน ด้วยเหตุผลการปกป้องคนไทยทุกคนจากพิษภัยของสารเร่งเนื้อแดง ตราบใดที่ไทยกับสหรัฐฯ ยังมีการเลี้ยงหมูที่แตกต่าง วันนี้สหรัฐฯ ยังใช้สารปรับสภาพซาก คือสารเร่งเนื้อแดง-แรกโตพามีน (Ractopamine) ได้อย่างปกติ ในขณะที่ไทยถือว่าสารนี้เป็นสารต้องห้ามตามกฎหมาย 2 ฉบับ ทั้งประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงเป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์ พ.ศ. 2545 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มเบตาอะโกนิสต์ พ.ศ. 2546 กลายเป็นข้อกำหนดที่ไม่สอดคล้องกัน

ดังนั้น การผลักดันหมูที่มีสารเร่งเข้ามาในไทยจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ทั้งในแง่กฎหมาย และสุขภาพของคนไทย รัฐบาลไทยต้องยืนหยัดปกป้องคนไทย ต้องไม่ยอมให้เนื้อหมูสหรัฐฯ เข้ามาขายปะปนกับหมูไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องอาหารปลอดภัยที่สุดในภูมิภาคและในระดับโลก จากผลผลิตหมูคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัย ปลอดโรค โดยเฉพาะ ASF ซึ่งเป็นโรคสำคัญในหมู ที่ไทยยังคงเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียและอาเซียนที่คงสถานะปลอดจากโรคนี้จนถึงปัจจุบัน

รัฐบาลไทยต้องปกป้องประชาชนไทยจากกรงเล็บของพญาอินทรี ไม่ปล่อยให้หมูสหรัฐฯ เข้ามาทำลายอุตสาหกรรมหมู ที่วันนี้กำลังไปได้สวยทั้งแง่มาตรฐานการเลี้ยง การป้องกันโรค และการเป็นพระเอกของสินค้าเกษตรที่สามารถส่งออกและนำเงินตราต่างประเทศเข้าไทยได้ในวิกฤตโควิดเช่นนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินมาถูกทางในการต่อสู้เพื่อคนไทย และทำถูกต้องที่สะกัดกั้นไม่ให้หมูมะกันที่เต็มไปด้วยสารอันตรายเข้ามาสร้างปัญหาสุขภาพให้แก่คนไทย และไม่ให้มาทำลายอาชีพเกษตรกรไทยอีกหลายแสนคนได้ อย่ายอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ และไม่เปิดรับระเบิดเวลาเข้ามาทำลายสุขภาพคนไทยได้เด็ดขาด

บทความโดย ปฏิภาณ กิจสุนทร นักวิชาการอิสระ : patipan.kijsoontorn@gmail.com


กำลังโหลดความคิดเห็น