OR มั่นใจการลงทุนโครงการในเมียนมาพร้อมเปิดเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 6 เดือนหลังความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมายุติลง เผยงบลงทุน 5 ปีนี้อัดงบ 7.4 หมื่นล้านบาท เร่งขยายสถานีบริการน้ำมันและธุรกิจนอนออยล์เพิ่มเติมในปีนี้ แจงผู้ถือหุ้นยึดนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ
น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2564 ของบริษัท วันนี้ (7 เม.ย.) ว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนพันธมิตรท้องถิ่นในเมียนมา โดยจัดตั้ง 2 บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรกลุ่มบริษัท คันบาวซา จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมา ใน 1. โครงการร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งปิโตรเลียม รวมถึงการจัดตั้งและบริหารคลังน้ำมัน ท่าเรือ และโรงบรรจุก๊าซ LPG และ 2. โครงการร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีก โดยนำแบรนด์ของ OR ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยมาต่อยอดเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภคชาวเมียนมา ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ก๊าซ LPG และร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ขณะนี้ทั้ง 2 โครงการมีการก่อสร้างไปแล้ว 65% แต่ล่าสุดโครงการดังกล่าวได้ชะลอไปก่อนจากผลกระทบจากการเมืองในประเทศเมียนมา อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองเมียนมาเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้ง 2 โครงการนี้จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 6 เดือนหลังจากสถานการณ์ภายในประเทศสงบ
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจใน 5 ปีนี้ (ปี 2564-2568) บริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 74,000 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจน้ำมัน 35% ธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil) 30% ธุรกิจต่างประเทศ 13% และที่เหลือ เป็นธุรกิจ New S-Curve ที่จะมุ่งไปใน 2 ด้านหลัก คือ ธุรกิจไลฟ์สไตล์ และธุรกิจ MOBILITY เพื่อสร้างการเติบโตให้แก่บริษัท ซึ่งจะเห็นว่าภาพรวมธุรกิจในอนาคตจะมุ่งไปที่ขยายการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก (Non-Oil) และธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่มากขึ้นในอนาคต โดยในปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายร้านคาเฟ่ อเมซอน เพิ่มขึ้นอีก 400 แห่ง สถานีบริการน้ำมัน PTT Station เพิ่มขึ้น 110 แห่ง ร้าน Texas Chicken เพิ่มขึ้น 20 แห่ง พร้อมขยายสาขาฟิตออโตเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ในช่วงกลางปี 2564 บริษัทเตรียมเปิดศูนย์กระจายสินค้าคาเฟ่อเมซอนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆและหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในการกระจายสินค้าให้รวดเร็วและทั่วถึง รวมถึงจะมีการเปิดศูนย์กระจายสินค้าผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ รับทราบการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563 ที่อัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น รวมเป็นวงเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลจ่าย 41.1% ของกำไรสุทธิ โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 28 เม.ย.นี้ ซึ่งอัตราดังกล่าวถือเป็นอัตราใกล้เคียงกับการพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอุตสาหกรรมเดียวกันและเป็นอัตราที่เหมาะสม และเป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่กำหนดจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ
ผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้ 428,804 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 8,791 ล้านบาท ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อปริมาณการขายน้ำมันลดลง 12% ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของน้ำมันอากาศยาน (Jet) ส่วนธุรกิจค้าปลีกได้รับผลกระทบเล็กน้อย ซึ่งผลกระทบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ โดยปัจจุบันยอดขายน้ำมันเริ่มฟื้นตัว แต่ยังส่งผลกระทบต่อน้ำมันอากาศยานระหว่างประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบอนุมัติการเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทจาก 11 ท่าน เป็น 15 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ เป็นกรรมการอิสระ, นายรวิศ หาญอุตสาหะ เป็นกรรมการอิสระ, นายนพดล ปิ่นสุภา และนางอรวดี โพธิสาโร เป็นกรรมการ โดยสาเหตุที่บริษัทต้องเพิ่มจำนวนกรรมการในครั้งนี้เนื่องจากภายหลังบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ภารกิจการกำกับดูแลมากขึ้น รวมทั้งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในอนาคต ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องเพิ่มกรรมการดังกล่าว