สตาร์เฟล็กซ์ ทุ่มงบลงทุนปีนี้ 300 ล้านบาท เดินหน้าขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 270 ล้านเมตรต่อปี จากเดิม 210 ล้านเมตรต่อปี และซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อรองรับออเดอร์ทะลัก ช่วยหนุนรายได้ปี 64 โตทะลุเป้า 1,560 ล้านบาท พร้อมโชว์กลยุทธ์ ขยายตลาดเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ เน้นบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมียม มาร์จิ้นสูงในกลุ่ม Food และเครื่องมือแพทย์ มุ่งสร้างอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่ง หวังก้าวสู่ผู้นำธุรกิจ Flexible Packaging
นายสมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท แบ่งเป็นขยายโรงงาน จำนวน 200 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักร จำนวน 100 ล้านบาท และเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องจักรเป็น 270 ล้านเมตรต่อปี จากปีก่อนที่ทำได้ 215 ล้านเมตรต่อปี หรือกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 25.58% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของรายได้จากการขาย Flexible Packaging ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายปี 2564 ไม่น้อยกว่า 1,560 ล้านบาท และก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ Flexible Packaging อย่างมั่นคง
“SFLEX ให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นอันดับหนึ่ง เราจึงเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระดับแนวหน้าและสอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลง จึงตัดสินใจลงทุนเครื่องจักรใหม่ ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ อีกทั้งการขยายโรงงานและสร้างคลังสินค้านอกจากจะรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มเข้ามาแล้ว ยังทำให้เราสามารถควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นของผลิตภัณฑ์ได้ ทำให้สินค้ามีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงตาม Specification และความปลอดภัย มุ่งสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าสูงสุดอีกด้วย”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีแผนย้ายโรงงานที่บริเวณตำบลแพรกษา จังหวัดสมุทรปราการ มาอยู่โรงงานที่อำเภอบางบ่อ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง คาดจะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องจักรภายในไตรมาส 4/2564
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจบริษัทฯ มีกลยุทธ์การขยายตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยในการผลักดันให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น พร้อมกับการขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม Food มากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 25-30% และที่เหลือราว 70-75% เป็นยอดขายในกลุ่ม Non-Food เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทมีการขยายตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมียมไปสู่กลุ่ม Food และกลุ่มเครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูงทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลในในอัตรา 0.045 บาท/หุ้น โดยระบุว่าวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผลหรือขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 เมษายน 2564 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 20 เมษายน 2564 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ วาระดังกล่าวต้องผ่านมติอนุมัติในงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี วันที่ 8 เมษายน 2564 ณ ห้องประชุม 211-213 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค