“ศักดิ์สยาม” เร่งแผนลงทุน “แลนด์บริดจ์” พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน “ท่าเรือ-รถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์” ปักหมุดเปิดระบบขนส่งน้ำมันดิบ (Oil Bridge) แนวใหม่ ชุมพร-ระนอง ลดเวลาขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางสู่จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) ว่า โครงการนี้ประกอบด้วยโครงการสำคัญ 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินการ
2. การพัฒนามอเตอร์เวย์เชื่อม Land Bridge มอบหมายให้กรมทางหลวง(ทล.) ดำเนินการ และ 3. การพัฒนารถไฟทางคู่เชื่อม Land Bridge มอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการ
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า แนวทางในการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) นั้น ต้องคำนึงถึงภาพรวมในการขนส่งทางทะเลของโลก ซึ่งในปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิกใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางหลัก
จากสถิติการขนส่งสินค้าประเภทน้ำมันดิบในปี 2559 พบว่าปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตจากพื้นที่เอเชียตะวันออกกลางขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน ประมาณ 19.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน และผ่านทางช่องแคบมะละกา ประมาณ 16.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อขนส่งไปยังประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่มีการนำเข้ามากกว่าร้อยละ 80
ในขณะที่การขนส่งสินค้าประเภทตู้คอนเทนเนอร์ผ่านช่องแคบมะละกาอยู่ที่ประมาณ 24.7 ล้านตู้ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของปริมาณสินค้าที่ขนส่งทั่วโลก ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ท่าเรือสิงคโปร์กลายเป็นท่าเรือที่มีคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือน้ำมันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และเป็นท่าเรือที่มีตู้สินค้าผ่านมากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ในขณะที่พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค สำหรับการเป็นประตูในการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้า และเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทวีปต่างๆ ของโลก และยังมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์จากตำแหน่งที่ตั้งโครงการ ซึ่งสามารถลดเวลาและระยะทางการขนส่งจากเดิม ทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่งหลีกเลี่ยงปัญหาการติดขัดของช่องแคบมะละกา จึงมีแนวโน้มในการจูงใจผู้ประกอบการขนส่งและนักลงทุนให้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้มากขึ้น
จากข้อได้เปรียบดังกล่าว กระทรวงคมนาคม โดย สนข.จึงได้กำหนดบทบาทของโครงการ Land bridge ชุมพร-ระนอง ให้เป็นทางเลือกในการขนส่งน้ำมันดิบ หรือ Oil Bridge โดยขนส่งน้ำมันทางเรือจากช่องแคบฮอร์มุซมายังท่าเรือระนอง และผ่านทางท่อไปยังท่าเรือชุมพร เพื่อขนส่งทางเรือไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาค รวมถึงประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงการเป็นทางเลือกในการถ่ายลำการขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อมต่อทางรางและทางถนน และเป็นท่าเรือสำหรับการประกอบชิ้นส่วน ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจเสรี ดึงดูดนักลงทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมหลังท่าเรือระนอง และท่าเรือชุมพร ส่งเสริม Land Bridge และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้
ขณะนี้ สนข.อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการพัฒนาท่าเรือ โดยพิจารณาทั้งพื้นที่โครงการฝั่งอันดามันและอ่าวไทย โดยการคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการพัฒนาท่าเรือทั้งสองฝั่งนั้นจะต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านวิศวกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปผลการคัดเลือกได้ในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน 2564 ก่อนที่ ทล.และ รฟท.จะดำเนินการศึกษาความเหมาะสม และออกแบบเบื้องต้ แนวเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษ และทางรถไฟตามกรอบการดำเนินการโครงการ MR-MAP เชื่อมต่อท่าเรือสองฝั่งทะเลต่อไป