xs
xsm
sm
md
lg

“จุรินทร์” เตรียมลงนาม MOU ซื้อขายข้าวกับอินโดนีเซีย ปริมาณเป้าหมาย 1 ล้านตัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“จุรินทร์” เตรียมลงนาม MOU กับอินโดนีเซียทางออนไลน์ ตกลงจะซื้อขายข้าวปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี หลัง ครม.ไฟเขียวร่าง MOU การค้าข้าวแล้ว มั่นใจเพิ่มโอกาสการส่งออกข้าวเจาะตลาดอินโดนีเซียได้เพิ่มขึ้น

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำ MOU ว่าด้วยการค้าข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทย กับกระทรวงการค้าแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้รัฐบาลอินโดนีเซียนำเข้าข้าวจากไทย และช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดอินโดนีเซียให้มากขึ้น รวมทั้งยังเป็นการรักษาความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้าข้าวอันดีระหว่างไทยและอินโดนีเซียที่มีมาอย่างยาวนานด้วย

“รัฐบาลอินโดนีเซียขอทำ MOU โดยเป็นข้าว 15-25% กับรัฐบาลไทย มีวัตถุประสงค์ต้องการสำรองข้าวเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ หากเกิดเหตุการณ์ที่ปริมาณผลผลิตข้าวภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการลงนามกันผ่านทางออนไลน์ในช่วงปลายเดือนนี้”

ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายพึ่งพาตนเองด้านอาหาร (self-sufficiency policy) ส่งเสริมการปลูกข้าวภายในประเทศเพื่อให้เพียงพอและนำเข้าเท่าที่จำเป็น แต่ในบางปีอินโดนีเซียประสบปัญหาผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เพื่อบริโภคและเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวภายในประเทศ

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้แจ้งความประสงค์ขอจัดทำ MOU และได้ประชุมหารือประเด็นดังกล่าวผ่านระบบ Video Conference กับกรมการค้าต่างประเทศ เมื่อช่วงปลายปี 2563 โดยสาระสำคัญของ MOU ดังกล่าว ระบุว่าทั้งสองฝ่ายตกลงจะซื้อขายข้าวปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและระดับราคาในตลาดโลก ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการเจรจาและทำสัญญากันต่อไป โดยที่ MOU ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 4 ปี

รายงานข่าวจากกรมการค้าต่างประเทศ แจ้งว่า ในปี 2563 ไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซีย ปริมาณ 89,406 ตัน มูลค่า 2,262 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.23% และ 86.78% ตามลำดับ


กำลังโหลดความคิดเห็น