รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เดินหน้าลดอุปสรรคการค้า เชื่อมโยงการค้าสินค้าจำเป็นนอกเหนือจากยาและเวชภัณฑ์ ลุยการค้าดิจิทัล ไฟเขียวประเด็นเศรษฐกิจ 3 ด้าน “การฟื้นฟู-การเป็นดิจิทัล-ความยั่งยืน” พร้อมจี้สมาชิกให้สัตยาบัน RCEP ขีดเส้นบังคับใช้ 1 ม.ค. 65 ทบทวนความตกลงการค้าสินค้ากับอินเดีย และทำกรอบ FTA อาเซียน-อียู
นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 27 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ 2-3 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ว่า การประชุมครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยที่ประชุมได้เร่งรัดการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของอาเซียนภายหลังโควิด-19 เน้นการลดอุปสรรคการค้า เชื่อมโยงสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะตกลงขยายบัญชีสินค้าจำเป็นเพิ่มเติมจากยาและเวชภัณฑ์ เพื่อไม่ให้มีข้อจำกัดด้านการไหลเวียนของสินค้าที่จำเป็นในช่วงโควิด-19 การเร่งเตรียมความพร้อมด้านการค้าดิจิทัล และหาทางให้อาเซียนขยายความสำคัญของการอยู่ในห่วงโซ่มูลค่าโลก
ทั้งนี้ ยังได้เห็นชอบข้อเสนอด้านเศรษฐกิจของบรูไน ในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการฟื้นฟู เช่น การจัดทำเครื่องมือในการประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ของประเทศสมาชิกอาเซียน การจัดทำแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และการประกาศเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา 2. ด้านการเป็นดิจิทัล เช่น การจัดทำแผนงานเพื่อดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ปี 2564-68 และ 3. ด้านความยั่งยืน เช่น การจัดทำกรอบการส่งเสริมผู้ผลิตรายย่อย สหกรณ์ และ MSMEs ของอาเซียน ในด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ และการจัดทำกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนของอาเซียน
ขณะเดียวกัน ได้เร่งรัดให้ทุกประเทศเร่งกระบวนการภายในประเทศ เพื่อให้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้โดยเร็ว โดยไทยได้เสนอให้ประเทศสมาชิก RCEP ต้องกำหนดวันการมีผลบังคับใช้ให้ชัดเจน คือวันที่ 1 ม.ค. 2565 เพื่อที่ทุกประเทศจะได้มีเป้าหมายการดำเนินการภายในที่ชัดเจน และได้แจ้งว่ารัฐสภาไทยได้ให้การรับรองแล้ว ซึ่งถือเป็นประเทศแรกและอยู่ระหว่างการเตรียมการภายในเพื่อให้สามารถมีผลบังคับใช้ได้ภายในกำหนด
ส่วนความสัมพันธ์กับนอกภูมิภาค ได้เร่งหารือเรื่องการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย และปัญหาของกฎศุลกากรด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ของอินเดีย หรือ CAROTAR 2020 ที่มีต่อการค้ากับอาเซียน ซึ่งไทยได้เน้นย้ำว่าต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพราะเป็นอุปสรรคต่อการค้าสองฝ่ายอย่างมาก และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อาวุโสเร่งหารือจัดทำความเห็นต่อร่างกรอบกำหนดขอบเขตความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรปด้วย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังได้หารือกับภาคธุรกิจของอาเซียน (ASEAN-BAC) และรับทราบประเด็นที่ต้องการให้ผลักดันในเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล โดยเฉพาะ MSMEs และสตาร์ทอัพ แรงงาน มาตรฐาน และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงเอกสารทางการค้า เพื่ออำนวยความสะดวกระหว่างกัน ซึ่งที่ประชุมได้ย้ำความสำคัญของภาคเอกชน และความร่วมมือกับคณะกรรมการในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความสอดคล้องและเดินหน้าไปด้วยกัน