ผู้จัดการรายวัน 360 - “เดอะฮับไทยแลนด์” (The Hub Thailand) แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซสินค้าไทยที่ใหญ่และครบวงจร พัฒนาโดยฝีมือคนไทย เพื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคคนไทยโดยเฉพาะ ชูความสำเร็จอย่างล้นหลามหลังจากเปิดตัวในปีที่ผ่านมา ช่วยหนุนผู้ประกอบการไทยพ้นวิกฤตโควิด-19 ผ่านการพัฒนาระบบที่ทันสมัยและครบวงจร “ซื้อง่าย-ขายคล่อง-ส่งเร็ว” ตั้งเป้าลุยให้บริการตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยเต็มกำลัง เน้นแนวคิดการตลาดแบบร่วมมือ (Collaboration) และช่องทางการขาย O2O (Omni-Channel) ยกระดับสินค้าไทยไปไกลทั่วโลก
นายธนฑิต เจริญจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงาน Transformation บริษัท เจเนอรัล อิเลคทรอนิค คอมเมอร์ซ เซอร์วิสเซส จำกัด เปิดเผยว่า “เดอะฮับไทยแลนด์” แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการซื้อ-ขายสินค้าและบริการไทย ที่พัฒนาขึ้นบนแนวคิด “แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซคนไทยเพื่อคนไทย พร้อมผลักสินค้าไทยสู่ตลาดสากลด้วยบริการที่ครบวงจร” ที่มีจุดเด่นที่แตกต่าง คือเป็นช่องทางการซื้อ-ขายสำหรับสินค้าแบรนด์ไทยโดยเฉพาะ จึงเป็นแหล่งรวมผู้ประกอบการไทยและสินค้าไทยออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงมีระบบที่ใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัยสูงสุดมาตรฐานระดับโลก และพร้อมเปิดรับการเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ
“จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ New Normal และภายใต้ข้อจำกัดของการป้องกันและควบคุมโรค ช่องทางออนไลน์จึงเป็นทางออก และเป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมสำหรับการใช้ชีวิตภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ของผู้ประกอบและผู้บริโภค พฤติกรรมเหล่านี้ช่วยส่งผลในเชิงบวกให้กับธุรกิจออนไลน์ หรือ “อี-คอมเมิร์ซ” อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้น ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐก็เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจออนไลน์มากขึ้น รวมถึง “เดอะฮับไทยแลนด์” ก็พร้อมที่จะสนับสนุนและผลักดันผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ในไทยให้สามารถก้าวสู่การแข่งขันระดับนานาชาติได้อย่างแน่นอน” นายธนฑิตกล่าว
ทั้งนี้ มูลค่าตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย ปี 2563 มีมูลค่า 200,000 ล้านบาท และเติบโตขึ้น 35% โดยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในปีที่ผ่านมาผู้บริโภคหันมาชอปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ตัวเลขตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยเติบโตที่ 19% เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14,900 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งประเมินเป็นมูลค่าใช้จ่ายรวมบนระบบออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นทั้งปี 87,700 ล้านบาทจากช่วงเวลาปกติ โดย 3 อันดับของสินค้าที่มีการซื้อขายผ่านออนไลน์มากที่สุดคือ อันดับ 1 สินค้าอุปโภคบริโภค 73% อันดับ 2 สินค้าไอที 50% และอันดับ 3 สินค้าตกแต่งบ้าน 29% ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการควรเร่งขยายช่องท่องธุรกิจและสร้างรายได้บนระบบออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ หรือ New Normal และเพิ่มโอกาสเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่เปลี่ยนเข้าสู่ตลาดออนไลน์มากขึ้น
ด้านนายสรเชษฐ์ วรรณธนาเลิศ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจอี-มาร์เก็ตเพลส บริษัท เจเนอรัล อิเลคทรอนิค คอมเมอร์ซ เซอร์วิสเซส จำกัด เผยว่า ในปีนี้ “เดอะฮับไทยแลนด์” มีแผนการพัฒนาที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นแผนการพัฒนาระบบการซื้อ-ขายแบบครบวงจร One-Stop Service ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ระบบจัดการสินค้า ระบบช่องทางการขายที่หลากหลาย ระบบการขนส่งที่รวดเร็ว ระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย รวมถึงแผนการขยายการจำหน่ายสินค้าผ่านพันธมิตรในต่างประเทศ โดยจะมีบริการให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์และการตลาดแบบ O2O หรือ ออมนิชาแนล (Omni Channel) อาทิ โครงการ “มุมไทย” ที่คัดเลือกสินค้าไทยคุณภาพ ไปขายใน “Jiffy” ซูเปอร์มาร์เกตที่ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. (PTT) ที่ ประเทศกัมพูชา กว่า 25 สาขา นอกจากนั้น ยังมีบริการอื่นๆ รองรับกลยุทธ์การเพิ่มยอดขายของผู้ประกอบการ อาทิ การถ่ายรูปสินค้าให้สวยงามโดดเด่น การสร้างคอนเท้นท์ของสินค้าให้น่าสนใจ และการจัดอบรมสัมมนาเพื่อให้ความรู้สำหรับการทำธุรกิจส่งออก ฯลฯ
อีกหนึ่งแผนธุรกิจที่สำคัญของ “เดอะฮับไทยแลนด์” คือ การขยายพันธมิตรทางการค้ากับ “ตัวแทนจำหน่าย” (Reseller) กับแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ B2B ระดับโลกอย่าง “อะลีบาบา” (Alibaba) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันและยกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสินค้าโอทอป (OTOP) ของไทยให้สามารถเข้าสู่การแข่งขันระดับโลกผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงความร่วมมือกับภาครัฐและองค์กรต่างๆ เช่น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) และ สภาหอการค้าไทย ที่ได้ร่วมมือกันมาอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา
“เราภูมิใจที่ได้ช่วยธุรกิจและผู้ประกอบการไทยให้สามารถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แข่งขันได้ในระดับโลก และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในโลกปัจจุบัน ผ่านการใช้แพลตฟอร์มของเราที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเรามุ่งหวังที่จะเป็น “Business Enabler” โดยช่วยให้ SME รวมถึงผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซแพลตฟอร์มอื่นๆ ช่วยต่อกับเราได้ และดำเนินธุรกิจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น พร้อมเข้ามาช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น บริการบัญชี การจัดการเรื่องขนส่ง แหล่งเงินทุน และอื่นๆ แบบครบวงจร ซึ่งจะทำให้เราสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นายสรเชษฐ์กล่าว
“เดอะฮับไทยแลนด์” ให้บริการการซื้อ-ขายสินค้าไทยออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.thehubthailand.biz และแอพพลิเคชั่น The Hub Thailand บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Device) ทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูงระดับสากล สามารถลงขายสินค้าแบรนด์ไทยที่ผลิตในประเทศไทย-โดยคนไทยได้ทุกประเภท ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมบริการ “Fast Delivery” ส่งเร็วภายใน 3 ชั่วโมง” มีสินค้าหลากหลายประเภทให้เลือกอย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าความงาม, สินค้าแฟชั่น, ขนม, ผลไม้, เครื่องครัว รวมถึงสินค้าราคาส่งสำหรับพ่อค้า-แม่ค้าสามารถซื้อไปขายต่อได้อีกด้วย ซึ่งล้วนเป็นสินค้าคุณภาพที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยโดยทั้งสิ้น นอกจากนี้ “เดอะฮับไทยแลนด์” ยังมีทีมงานทำการตลาดเพื่อโปรโมตสินค้าของสมาชิกทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั่วโลก
ทั้งนี้ “เดอะฮับไทยแลนด์” อยู่ภายใต้การพัฒนาของบริษัท เจเนอรัล อิเลคทรอนิค คอมเมอร์ซ เซอร์วิสเซส จำกัด (General Electronic Commerce Services หรือ GECS) ผู้ให้บริการและพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) สัญชาติไทยแท้ โดยเน้นที่บริการ Supply Chian Outsourcing และการบูรณาการร่วมกับลูกค้าและคู่ค้า ช่วยให้ธุรกิจและเครือข่ายคู่ค้าเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า ผ่านการรื้อปรับระบบ การนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ ขั้นตอนที่มีการประสานการทำงาน และการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
“The Hub Thailand” สมัครสมาชิกฟรีและลงขายได้ฟรี! ตั้งแต่วันนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่โทรศัพท์ 0-2764-1956 หรืออีเมล support@thehubthailand.biz ภายในวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. (ไม่รวมวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์) และติดตามข่าวสารผ่าน Facebook : The Hub Thailand และ Line : @thehub_Thailand