ผู้จัดการรายวัน 360 - “อีฟ โรเช่” เดินหน้ารุกหนัก หลังบริษัทแม่ยกไทยเป็นตลาดหลักติดท็อปเท็น ดันไทยประเทศแรกในโลกเปิดตัวระบบใหม่ “โซเชียลเซลลิ่ง” ลุยตลาดช่องทางออนไลน์ พร้อมขยายกลุ่มมิลเลนเนียม
นางสาววิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแม่ของอีฟโรเช่ที่ฝรั่งเศสให้ความสำคัญต่อตลาดประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วประเทศไทยได้ถูกจัดเข้าไปอยู่ในตลาดยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญหรือติดท็อปเท็นของอีฟโรเช่ทั่วโลก ซึ่งเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ติดอันดับ จากเดิมจะเป็นตลาดในประเทศยุโรปเป็นหลัก เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี แคนาดา เป็นต้น โดยมียอดขายในยุโรปมากถึง 85%
อีกทั้งไทยยังเป็นเพียง 1 ใน 2 ตลาดที่บริษัทแม่เข้ามาดำเนินธุรกิจเองเช่นเดียวกับในประเทศเวียดนาม แตกต่างจากตลาดอื่นที่อีฟโรเช่ใช้วิธีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายดำเนินการแทน ซึ่งถือเป็นการบ่งบอกถึงสภาพของตลาดในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
ล่าสุดอีฟโรเช่ได้ตัดสินใจเลือกตลาดประเทศไทยเป็นประเทศแรกของอีฟโรเช่ทั่วโลกเพื่อเปิดตัวโมเดลทางธุรกิจแบบใหม่ที่เรียกว่าโซเชียลเซลลิ่ง (Social Selling) ที่จำหน่ายผ่านช่องทางโซเชียล ที่พัฒนาโดยบริษัทแม่ เพราะไทยเป็นตลาดที่มีความเหมาะสมทั้งในแง่การเติบโต ผลประกอบการ ตลาดรวม การแข่งขัน และคนไทยใช้สื่อโซเชียลและอินเทอร์เน็ตติดอันดับมากที่สุดของโลกด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าปีที่แล้วประเทศไทยจะเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เช่นเดียวกับทั่วโลก แต่อีฟโรเช่ก็สามารถบริหารจัดการและทำผลประกอบการได้ดี กล่าวคือ มียอดขายประมาณเกือบ 1,000 ล้านบาท ยังเติบโต 7% โดยกลุ่มแฮร์โต 70% กลุ่มไฮยีนอาบน้ำโต 55% กลุ่มสกินแคร์ตก 5% ขณะที่ตลาดรวมสกินแคร์ในไทยมูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท ติดลบมากถึง 11% ส่วนตลาดแฮร์แคร์โตแค่ 2% ตลาดเมกอัพติดลบมากถึง 30% ตลาดบิวตี้ติดลบ 15% ส่วนตลาดไฮยีนโต 7% อันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19
ในส่วนของแผนธุรกิจของอีฟโรเช่ในไทย จะเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารการเล่าเรื่อง และการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ กลุ่มมิลเลนเนียม โดยปี 2564 นี้อีฟโรเช่ได้เปิดตัวภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ พร้อมโลโก้ใหม่ที่สื่อถึงต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสได้อย่างชัดเจน และแพกเกจจิ้งใหม่ และเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ครั้งแรกในประเทศไทยเพราะอีฟโรเช่ไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์มาก่อนจะเป็นคนเล่าเรื่องราวทุกอย่างของแบรนด์ โดยจะต้องมี 4 แกนหลัก คือ Generosity (ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่), Positive Activist (จิตวิญญาณนักต่อสู้ในเชิงบวก), Rooted Entrepreneurial (หัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการ) และ Honest (ความซื่อสัตย์จริงใจ) ทำให้เราได้ ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ มานั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์โปรดักต์ไลน์แฮร์แคร์คนแรกในประเทศ เพื่อกระตุ้นยอดขายของกลุ่ม Green Generation Millennials และ บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแคมเปญ “ช้อป แชร์ ได้เงินชิลๆ” ที่จะเปลี่ยนแปลงระบบสมาชิกใหม่ของอีฟโรเช่ เรียกว่า “อีฟโรเช่บิวตี้คลับ”
เราได้ปรับตัวให้เข้ากับยุค Digital Life เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าเปลี่ยนไป โดย 40% ของลูกค้าจะซื้อออนไลน์ถึงแม้หน้าร้านจะเปิดปกติ หรือหันมาซื้อของกระโดดไปมาจากหลากหลายช่องทางมากขึ้น ทำให้เห็น Traffic ได้อย่างชัดเจน เลยทำให้ปีที่แล้วมีร้านเหลือ 80 สาขา จากเดิมมี 128 สาขา และย้ายพนักงานบางส่วนไปรองรับลูกค้าที่เยอะขึ้นเป็นเท่าตัวในช่องทางออนไลน์แทน ตอนนี้เรามีสาขาทั้งหมด 81 สาขาซึ่งเพียงพอต่อการรองรับผู้บริโภคทั่วประเทศแล้วแน่นอน และคาดว่าจะมีสาขาเหลือประมาณ 70 แห่งภายใน 3 ปีจากนี้ก็น่าจะเพียงพอ โดยจะเริ่มทยอยรีโนเวตสาขาเดิมในปีนี้
ทั้งนี้ Offline Stores ยังคงเป็นส่วนใหญ่ที่สุดของธุรกิจ อยู่ที่ 80% และ Online Channels 20% โดยเติบโตอย่างรวดเร็วถึง 142% แต่คาดว่าในปี 2564 จะมีสัดส่วน 35% โดยลูกค้าของอีฟโรเช่กลุ่มใหญ่มี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือลูกค้า Loyalty ที่อยู่กับเรามาค่อนข้างนานแล้ว ส่วนใหญ่อายุ 45 ปีขึ้นไป มีฐานประมาณ 500,000 ราย แอ็กทีฟ 50% กลุ่มนี้จะมาร้านน้อยลง และหันไปชอปออนไลน์ แต่ยอดซื้อไม่ได้ลดลง ประมาณ 2,500 บาทต่อบิลเนื่องจากเราใช้ CRM Model ในการดูแลลูกค้ากลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด เน้นซื้อสินค้ากลุ่มสกินแคร์ ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มใหม่ที่เข้ามาจากการทำสื่อโซเชียลอย่างเต็มที่ในปีนี้ เรามีลูกค้ากลุ่มนี้เกือบ 200,000 คนแล้ว กลุ่มนี้จะซื้อของออนไลน์เป็นช่องทางหลัก เฉลี่ย 800 บาทต่อบิล เน้นซื้อกลุ่มแฮร์แคร์ แต่ก็ไปที่หน้าร้านเช่นกัน
“สิ่งที่เราเล็งเห็นของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มคือ ตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ปีที่แล้วลูกค้าเริ่มเป็น Omnichannel Customers มากขึ้นคือ Switch ไปมาในหลากหลาย Touch Points เพื่อ Engage กับ Brand (Offline, E-marketplace, Line OA, Telesales, BA Commerce, Ecom, etc) และน่าจะมีลูกค้าแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกมากในปี 2564 เราเจาะกลุ่มทั้งลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่โดยใช้ CRM เพื่อ Retain ลูกค้าเก่าที่เป็น Royal Customers และ Recruit ลูกค้าใหม่ผ่าน Social Media ซึ่งปีนี้เราจะมี Digitalized Omnichannel Platform อย่างเต็มตัว เรียกว่า Yves Rocher Beauty Club ทำให้เรามอบประสบการณ์ไร้รอยต่อที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าได้ และสิ่งนี้จะเป็นอาวุธลับหลักที่จะทำให้เราสามารถดูแลทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้ยอดการเติบโตจาก +7% จากตลาดที่ติดลบ -11% ในปี 2563 ขยับ Target เป็น +20% ในปี 2564 นี้”
นอกจากนั้นเรายังมีบทเรียนจากวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นปีที่ยากสำหรับทุกแบรนด์ใน Beauty Industry แต่เนื่องจากอีฟโรเช่เล็งเห็นผลกระทบตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้เรารับมือได้เป็นอย่างดีหากเกิดการล็อกดาวน์อีกครั้งก็สามารถทำได้เป็นระบบ และรวดเร็วยิ่งขึ้น