ผู้จัดการรายวัน 360 - เนสท์เล่ทุ่มงบกว่า 4,500 ล้านบาทขยายการผลิต 3 โรงงานในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยูเอชที พร้อมอัดงบอีก 50 ล้านบาทเสริมทัพธุรกิจดิจิทัล
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า แม้ปี 2563 นี้จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่เนสท์เล่เชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดประเทศไทย และมองเห็นถึงการเติบโตในระยะยาว จึงพร้อมทุ่มงบรวมกว่า 4,500 ล้านบาทขยายการลงทุนใน 3 โรงงานหลัก ได้แก่ โรงงานอมตะ โรงงานบางชัน และโรงงานยูเอชที นวนคร 7 เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม และเครื่องดื่มยูเอชที
สำหรับการสร้างโรงงานอมตะแห่งใหม่เสริมพอร์ตอาหารสัตว์เลี้ยงนั้นใช้งบกว่า 2,550 ล้านบาท มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2564 ส่วนโรงงานบางชันเป็นโรงงานผลิตไอศกรีมของเนสท์เล่ ได้จัดสรรงบประมาณ 440 ล้านบาท เพิ่มไลน์การผลิตของโรงงานบางชันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และยังใช้งบอีกกว่า 1,530 ล้านบาทสร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ และเริ่มการผลิตเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
“การสร้างโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงนั้นเนื่องจากพบว่าคนจำนวนมากที่หันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงโควิด-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่ตก สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่าตลาดอาหารสัตว์พรีเมียมมีการขยายตัวสูงเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้แก่สัตว์เลี้ยงของตัวเอง”
ส่วนการขยายไลน์ผลิตไอศกรีมที่โรงงานบางชันก็เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาดไอศกรีม เช่น ไอศกรีมโมจิ ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทยเป็นแบรนด์แรกและได้รับการตอบรับที่ดีมาก รวมถึงไอศกรีมคิทแคท และโอริโอ พร้อมริเริ่มนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมเนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีม นามะ ที่ทำจากกระดาษเป็นครั้งแรกของไทยและสามารถรีไซเคิลได้ ทำให้ยอดขายไอศกรีมเนสท์เล่มีการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ขณะที่การสร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ก็เพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและบรรจุภัณฑ์ที่ดีต่อโลก จากเดิมที่มีโรงงานยูเอชที นวนคร 7 เป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชที ได้แก่ ไมโล และนมตราหมี อยู่แล้ว
นายวิคเตอร์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญต่อช่องทางอีคอมเมิร์ซ จากที่พบว่าก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 ประเทศไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ช่วงที่เกิดโควิด-19 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นอีก
เนื่องจากผู้บริโภคหันมาชอปของใช้ในบ้านและสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ในปี 2563 ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า
ดังนั้น ในปีนี้ได้จัดงบลงทุนในอีบิสิเนส 50 ล้านบาทเพื่อจัดหาเครื่องมือที่ดีที่สุด รวมทั้งร่วมมือกับพาร์ตเนอร์จัดการอบรมเพื่อให้ก้าวทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมลงทุนในการสร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง