ผู้จัดการรายวัน 360 - “วัวแดง” ปรับทัพพร้อมแข่งเดือดสมรภูมิอุตสาหกรรมนม “ปีวัว” พลิกกลยุทธ์รับเทรนด์การตลาดยุคใหม่ ชู “e-commerce-platform” เพิ่มสัดส่วนการตลาดทั้งในและต่างประเทศ เล็งเจาะฐาน 5 เมืองใหญ่ของจีนและเวียดนาม วางเป้ากวาดรายได้ต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท พร้อมโหมประชาสัมพันธ์ตอกย้ำจุดแข็งของนมไทย-เดนมาร์ค การเป็นผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง และผลักดันนมวัวแดงสู่แบรนด์อันดับที่ 1 ในใจผู้บริโภคชาวไทยภายในปี 64
ดร.อาทิตย์ เพ็ชรรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า ภายใต้การแข่งขันในอุตสาหกรรมนมที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ประกอบกับเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปี 2563 ส่งผลให้ธุรกิจ E-commerce ในประเทศ เติบโตอย่างก้าวกระโดด และพฤติกรรมของคนไทยมีสัดส่วนการซื้อสินค้ารูปแบบ shopping online มากขึ้น
จากสถานการณ์ดังกล่าว อ.ส.ค.ได้เร่งปรับแผนส่งเสริมการขายและการตลาดให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เศรษฐกิจและสถานการณ์การแข่งขันมากขึ้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดและขยายอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คทั้งใน และต่างประเทศในอนาคต
โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญล่าสุด คือ การจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Work shop) การจัดทำแผนการตลาด การแก้ไขกลยุทธ์ทางการตลาดปี 2564 ขึ้นเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บด้านการตลาดให้ผู้บริหารและพนักงานฝ่ายการตลาดและการขาย และสำนักงานภาคทั้ง 5 ภาคของ อ.ส.ค. ในการนำไปขับเคลื่อนองค์กรและผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คให้มียอดจำหน่ายเติบโตอย่างมั่นคง ครองสัดส่วนในตลาดในประเทศแบบยั่งยืน และสามารถทำรายได้ให้เป็นไปตามแผนรัฐวิสาหกิจระยะ 5 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2564 ที่กำหนดต้องทำยอดขายให้ได้ 12,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน อ.ส.ค.เป็นผู้นำกลุ่มเจเนอรัลมิลค์ โดยครองสัดส่วนทางการตลาดอยู่ประมาณ 49% ดังนั้น อ.ส.ค.จึงต้องเร่งปรับแผนกลยุทธ์เพื่อขยายตลาด และเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ตลอดจนศึกษาและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและบริโภคนมกันมากขึ้น
ดร.อาทิตย์กล่าวด้วยว่า นอกจากการปรับแผนส่งเสริมการตลาดในประเทศแล้ว ในปี 2564 อ.ส.ค.ยังเร่งทำพอร์ตขยายช่องทางธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมในตลาดเป้าหมายสำคัญ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศเวียดนาม จากเดิมได้เข้าไปบุกเบิกสำเร็จมาแล้วใน สปป.ลาว กัมพูชา พม่า เพิ่มยอดการส่งออกผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค โดยเฉพาะจีนและเวียดนามนั้นถือเป็นประเทศที่น่าสนใจ ซึ่งขณะนี้เป็นเป้าหมายที่นักลงทุนทั่วโลกต่างเบนเข็มเข้าไปลงทุนเนื่องจากเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและมีสัดส่วนประชากรค่อนข้างมาก
“สำหรับตลาดในจีนที่เราเล็งไว้คือ จะเน้นเข้าไปเจาะตลาดคุนหมิงเป็นเมืองแรก โดยวางเป้าหมายส่งผลิตภัณฑ์เข้าไปชิมลางในไตรมาสแรกของปี 64 ก่อนจะขยายฐานตลาดไปอีก 5 เมืองใหญ่ คือ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กว่างโจว เสิ่นเจิ้น และเฉิงตู โดยวางเป้าหมายยอดจำหน่ายตลาดต่างประเทศไว้ที่ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนที่จะเข้าไปทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนควบคู่กัน” ดร.อาทิตย์กล่าว
ด้าน นายวิทวัส ชัยปาณี ประธานคณะอนุกรรมการ CG/CSR อ.ส.ค. กล่าวว่า ถึงเวลาที่ อ.ส.ค.จะต้องเร่งปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและแผนการตลาดผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เพื่อประสิทธิภาพด้านการแข่งขันและปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงยิ่งขึ้น โดยปรับลดกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบที่ไม่ส่งผลต่อการเติบโตของยอดขายหรือส่งผลบวกต่อแบรนด์ให้น้อยลง แล้วหันไปเน้นส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพที่สามารถกระตุ้นยอดขายและรายได้ให้ได้ตามเป้าหมายให้มากขึ้น เช่น รูปแบบ e-commerce และ platform ทางการตลาดสมัยใหม่
ในไตรมาสถัดไป อ.ส.ค.จะพลิกโฉมการทำตลาดผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คในรูปแบบทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโตอย่างมั่นคงใน 3 สเต็ปด้วยกัน คือ สเต็ปที่ 1 สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยได้วางเป้าหมายภายในปี 2564 อ.ส.ค.จะต้องก้าวสู่นมแห่งชาติ (Being ‘National Milk by 2021) ส่วนสเต็ปที่ 2 จะเน้นกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจลูกค้า (Motivation) ให้เข้ามาเป็นลูกค้าและหันมาซื้อผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คมากขึ้น และสเต็ปที่ 3 คือ การเร่งขับเคลื่อน
แบรนด์ไทย-เดนมาร์คก้าวสู่แบรนด์อันดับที่ 1 ในใจผู้บริโภคชาวไทย (Top of Mind) แต่ต้องทำอย่างไรก็ได้นอกจากผู้บริโภครู้จักและรักแบรนด์แล้ว ต้องงัดกลยุทธ์ทางการตลาดที่กระตุ้นและดึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวให้หันมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ผลิตภัณฑ์นมให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่รู้จักและยอดขายไม่กระเตื้องขึ้นหรือยอดขายเท่าเดิม
ดังนั้น กลยุทธ์ในการส่งเสริมการตลาดในเบื้องต้น อ.ส.ค.จะเน้นลงพื้นที่เพื่อทำกิจกรรมการขายร่วมกับตัวแทนจำหน่าย (เอเยนต์) ในภูมิภาคต่างๆ อย่างเข้มข้นมากขึ้น เช่น จัดทำโปรโมชันส่วนลด แถม รวมทั้งส่งทีมลงพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคด้านคุณประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายในการดื่มนมโคสดแท้ 100% พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ อย่างหนักหน่วงมากขึ้น เพื่อตอกย้ำทุกกลุ่มสินค้า เรายืนอยู่บน “Value Proposition” อันแข็งแกร่งของแบรนด์ไทย-เดนมาร์ค นั่นคือ ผลิตจากนมโคสดแท้ 100% ซึ่งจากมาตรการและกลยุทธ์ดังกล่าวเชื่อมั่นว่า อ.ส.ค.จะเป็นองค์กรนำในอุตสาหกรรมนมไทย และเป็นเจ้าตลาดผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มของประเทศอย่างแน่นอน
ด้านนายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการ อ.ส.ค. กล่าวว่า ด้านแผนการส่งออกตลาดสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศเวียดนาม มีแผนเจาะตลาดในปี 2564 นั้น เนื่องจากปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา ทาง อ.ส.ค.ไม่สามารถเจาะตลาดมุ่งเน้นด้านตลาดต่างประเทศได้ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ประสบปัญหาโรคระบาดไวรัสโคโรนา (โควิด-19) มีการล็อกดาวน์ประเทศทำให้ส่งออกต่างประเทศหยุดชะงัก จึงทำให้ อ.ส.ค.ต้องปรับแผนการส่งออกเป็นปี 2564
นอกจากนี้ อ.ส.ค.ยังได้จับมือกับพันธมิตรทางด้านอุตสาหกรรมกีฬาทั้งทางบกและทางน้ำเพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ๆ กว้างขวางขึ้น โดยผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนด้านกีฬาให้แก่เยาวชน เช่น สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, สมาคมเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นกีฬาที่เป็นยอดนิยมของคนไทยอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ภายใต้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เชื่อมั่นว่าจะทำให้ยอดจำหน่ายในปี 2564 เติบโตทะลุ 12,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
“นอกจากนี้ อ.ส.ค.ยังได้สนองนโยบายสำคัญของ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแล อ.ส.ค. มีมาตรการให้ อ.ส.ค.เร่งรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการดื่มนมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง จากน้ำนมโคที่ได้จากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมประเทศไทย ตลอดจนสืบสาน รักษา ต่อยอดอาชีพการเลี้ยงโคนม ซึ่งเป็นอาชีพทรงคุณค่าที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) พระราชทานไว้ให้แก่เกษตรกรไทยได้มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญในการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จนถึงมือผู้บริโภคต้องได้คุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนจดจำว่านมวัวแดง นมไทย-เดนมาร์ค นมทุกหยดผลิตจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม” นายสุชาติกล่าว