ผู้จัดการรายวัน 360 - วาว (WOW) เร่งเครื่องดันแบรนด์ในเครือรุกขยายตลาดต่างประเทศทั้งโมเดลร่วมทุนและขายแฟรนไชส์ ชี้ 2 แบรนด์มีสิทธิ์นำร่องก่อน “เครปส์แอนด์โค-Le Boeuf” พร้อมรอลุ้นดีลซื้อ โดมิโนส์พิซซ่า ประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 ส.ค.นี้
นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ W เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาแบรนด์ร้านอาหารที่มีอยู่ในเครือที่จะทำให้เป็นรีจินัล โอวน์ แบรนด์ (Reginal Own Brand) เพื่อไปเปิดตลาดต่างประเทศทั้งในรูปแบบของการร่วมทุนและการขายแฟรนไชส์ให้กับผู้ที่สนใจ ซึ่งเบื้องต้นนี้มองว่ามี 2 แบรนด์ที่มีศักยภาพและมีความเป็นไปได้ที่จะขยายธุรกิจดังกล่าวในต่างประเทศ คือ แบรนด์เครปส์แอนด์โค (Crepes&Co) เป็นร้านเครปส์สไตล์ฝรั่งเศส และแบรนด์เลอโบฟ (Le Boeuf) เป็นร้านสเต๊ก
บริษัทฯ มองตลาดต่างประเทศในเอเชียเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความใกล้เคียงกับไทย และอยู่ไม่ไกลสามารถที่จะควบคุมบริหารจัดการได้สะดวกเพื่อควบคุมคุณภาพ อีกทั้งร้านอาหารทั้งสองแบรนด์ดังกล่าวก็เป็นอาหารสากล ซึ่งสามารถที่จะทำตลาดได้ไม่มีข้อจำกัด ที่ผ่านมาก็มีการศึกษาตลาดต่างประเทศบ้างแล้ว ส่วนตลาดหลักในไทยยังไม่ขายแฟรนไชส์ จะเน้นลงทุนเองทั้งหมดทุกแบรนด์ในช่วงแรกนี้
จากปัจจุบันที่บริษัทฯ มีร้านอาหารและขนมหวานในเครือรวม 7 แบรนด์ ภายใต้บริษัท ฟู้ด โฮลดิ้ง จำกัด ดูแลรวม 7 แบรนด์ โดยไปถือหุ้นในแต่ละบริษัท 100%
ประกอบด้วย 1. บริษัท เบค ชีส ทาร์ต ประเทศไทย จำกัด บริหารขนมหวานนำเข้าจากญี่ปุ่นแบรนด์ เบค ชีส ทาร์ท (Bake Cheese tart) มี 4 สาขา, ซากุซากุ ( Zakuzaku) มี 4 สาขา และ Rapl มี 4 สาขา, 2. บริษัท อีสเทิร์น ควีซีน (ประเทศไทย) จำกัด บริหารแบรนด์ชาบูคาโกโนยะ (Kagonoya) มี 8 สาขา และ 3. บริษัท เครปส์ แอนด์ โค ดีเวล๊อปเม้นท์ จำกัด บริหารร้านเครปส์แอนด์โค Crepes & Co) มี 3 สาขา และ เลอ โบฟ (Le Boeuf) มี 1 สาขา
ทั้งหมดนี้เป็นแบรนด์ที่บริษัทเข้าซื้อกิจการและซื้อไลเซนส์ต่อจากรายเดิมมาทั้งหมดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ด้วยงบมากกว่า 700-800 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจใหม่จากโครงสร้างเดิมที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตและจำหน่ายเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งขณะนี้ได้ลดบทบาทธุรกิจเก่าไปแล้วเพื่อหันมาดำเนินธุรกิจฟูดแอนด์เบฟเวอเรจเป็นหลัก
ก่อนหน้านี้ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทได้จำหน่ายเงินลงทุนบางส่วนในบริษัท อีไอซี เซมิคอนดักเตอร์ จำกัด หรือ EIC SEMI ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ให้แก่ Mr. Lam Hung Kit โดยจำนวน 2.32 ล้านหุ้น หรือ 49% ของจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนและชำระแล้วทั้งหมดของ EIC SEMI ในราคา 117.6 ล้านบาท โดยภายหลังการจำหน่ายเงินลงทุนดังกล่าว บริษัทยังคงถือถือหุ้นใน EIC SEMI ในอัตรา 51% ของจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนและชำระแล้ว ซึ่งบริษัทได้รับชำระราคาค่าหุุ้นที่ซื้อขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบริษัทได้ดำเนินการโอนหุ้นที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อแล้ว
สำหรับธุรกิจในไทยที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน แต่ก็มีการปรับตัวปรับกลยุทธ์มาตลอด เช่น การทำดีลิเวอรี การปิดบางสาขา การนำบางแบรนด์มาเปิดในพื้นที่สาขาเดียวกัน การปรับเมนูและราคาของอาหาร เป็นต้น จนทำให้สามารถประคองธุรกิจมาได้ แม้ว่าจะมีผลประกอบการที่ไม่ดีเท่าที่ควร เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ
นางสาวแสงเดือน อิ๋วบำรุง กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) กล่าวว่า แบรนด์คาโกโนยะได้รับผลกระทบช่วงโควิด-19 แต่มีการปรับกลยุทธ์เข้าถึงลูกค้าที่กว้างขึ้น ทำบุฟเฟต์ดีลิเวอรี สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดการวัตถุดิบแบบครบวงจร ทำให้ยอดขายมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า เตรียมเปิดอีก 2 สาขาของเครปส์แอนด์โค ส่วนร้านเลอโบฟสาขาที่ซอยหลังสวนก็เตรียมที่จะขยายอีก ส่วนแบรนด์เบคชีสทาร์ตมีแผนเพิ่มอีก 3 สาขา
ส่วนแผนการเข้าซื้อไลเซนส์ร้านโดมิโนส์พิซซ่า (Domino’s Pizza) จากผู้รับสิทธิ์รายเดิมนั้นในนามบริษัท โดมิโน่ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด ล่าสุดจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 สิงหาคมนี้เพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา และคาดว่าทุกอย่างรวมทั้งการโอนสิทธิ์สาขาต่างๆ มี 27 สาขา (กรุงเทพฯ 1 สาขา และพัทยา 1 สาขา) จะแล้วเสร็จเดือนตุลาคมแน่นอน
โดยใช้งบลงทุนการรับไลเซนส์ประมาณ 430 กว่าล้านบาท ได้วางมัดจำไปแล้ว 100 ล้านบาท หลังจากที่เรียบร้อยแล้วคาดว่าจะลงทุนอีกประมาณ 60 ล้านบาทในการขยายสาขา 25 สาขาในกรุงเทพฯ และปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีกกว่า 50 สาขา เน้นรูปแบบเดลโก (ดีลิเวอรี กับเทกโฮม) เป็นหลัก
สำหรับรายได้รวมปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 200 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 300 ล้านบาทในปี 2564 และเพิ่มเป็น 600 ล้านบาทในปี 2565 โดยมีโดมิโนส์พิซซ่าทำรายได้หลัก 50%