บัวหลวงโชว์ผลงาน B-FUTURE เกือบ 2 ปีชนะตลาด จ่ายปันผลไปแล้ว 2 ครั้ง มั่นใจเหมาะลงทุนยาวรับเทรนด์นวัตกรรมใหม่ และการบริโภคแห่งอนาคต
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ หรือ B-FUTURE ดำเนินงานมาจะครบ 2 ปีในวันที่ 26 กรกฎาคม 2563 นี้ โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 กองทุน B-FUTURE ทำผลการดำเนินงานได้ 2.08% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.77% ส่วนผลการดำเนินงานรอบ 1 ปี อยู่ที่ 13.11% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 6.04% ในส่วนของผลการดำเนินงาน 6 เดือน อยู่ที่ 6.81% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน -1.03% ส่วนผลการดำเนินงาน 3 เดือน อยู่ที่ 7.41% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.58%
นอกจากนั้น กองทุน B-FUTURE ยังจ่ายเงินปันผลให้ผู้ลงทุนไปแล้วถึง 2 ครั้ง รวม 0.41 บาทต่อหน่วย โดยจ่ายครั้งแรกสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 26 กรกฎาคม 2561-30 เมษายน 2562 ในอัตรา 0.26 บาทต่อหน่วย และจ่ายครั้งที่ 2 จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2562-31 มกราคม 2563 ในอัตรา 0.15 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสจากการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) รวมถึงต้องการเติบโตไปพร้อมกับแนวโน้มการบริโภคในอนาคต ซึ่งยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถพิจารณากองทุน B-FUTURE เป็นทางเลือกได้ เนื่องจากกองทุนนี้ลงทุนในแนวโน้มข้างต้น
โดยกองทุนมีการลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ 2 กองทุน ได้แก่ Alliance Global Artificial Intelligence และ Fidelity Fund - China Consumer Fund รวมถึงการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรงเอง ซึ่งจากข้อมูลเดือนเมษายน 2563 กองทุน B-FUTURE ลงทุนผ่าน Alliance Global Artificial Intelligence 45.45% ลงทุนผ่าน Fidelity Fund - China Consumer Fund 33.89% และลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง 14.42%
ทั้งนี้ กองทุน Alliance Global Artificial Intelligence ที่กองทุน B-FUTURE เข้าไปลงทุน เชื่อมั่นว่า การลงทุนในธุรกิจที่นำ AI มาประยุกต์ใช้จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะธุรกิจที่ใช้ AI เข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตและบริการมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ปัจจุบันการพัฒนา AI ยังอยู่ในช่วงแรกเท่านั้น การพัฒนายังคงมีอยู่ต่ออย่างเนื่อง ที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากการที่ราคาหุ้นปรับตัวลงในเดือนมีนาคม โดยคัดเลือกหุ้นอย่างระมัดระวัง และคัดสรรหุ้นจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่นำ AI มาประยุกต์ใช้
กลุ่มธุรกิจที่กองทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนคือ กลุ่มแอปพลิเคชันที่ต้องใช้ AI เช่น กลุ่มบริษัทซอฟต์แวร์ เพราะได้รับผลกระทบน้อยจากห่วงโซ่การผลิตเทคโนโลยีทั่วโลกที่หยุดชะงัก ทั้งยังได้ประโยชน์สูงที่สุดจากการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) และกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ราคาได้ปรับตัวลดลงจนอยู่ในระดับน่าสนใจ
ขณะที่กองทุน Fidelity Fund – China Consumer Fund ที่กองทุน B-FUTURE เข้าไปลงทุนมีการกระจายลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยผู้จัดการกองทุนดังกล่าวมีมุมมองบวกอย่างมากกับการบริโภคในประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมากองทุนได้ประโยชน์จากการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในค้าปลีกออนไลน์ เกมออนไลน์ การศึกษาออนไลน์ ส่วนล่าสุดไตรมาสแรกที่ผ่านมา กองทุนเพิ่มน้ำหนักในสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะมองว่าได้ประโยชน์จากการทำงานจากที่บ้าน และกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (เฮลท์แคร์) ซึ่งมีโอกาสเติบโตจากการรักษาแบบใหม่ๆ ขณะเดียวกันยังมีมุมมองบวกต่อธุรกิจกลุ่มประกัน เพราะมองว่าความต้องการประกันชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด
ส่วนที่กองทุนบัวหลวงลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศเองนั้น ผู้จัดการกองทุนเน้นลงทุนหุ้นเกี่ยวกับการบริโภคในประเทศจีนที่มาพร้อมกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้เกิดความสะดวกมากขึ้น รวมถึงการให้น้ำหนักภาคบริการมากกว่าอุตสาหกรรมการผลิต เช่น อี-คอมเมิร์ซ ขนส่งและโลจิสติกส์ เนื่องจากมองว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นมากมาย จึงเป็นโอกาสของการลงทุนในบริษัทที่ปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน อันจะนำมาสู่ผลการดำเนินงานที่ดีของกองทุน
สำหรับกองทุน B-FUTURE เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการบริโภคในอนาคต ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับแนวโน้มการบริโภค การดำเนินธุรกิจ และเศรษฐกิจในอนาคต กองทุนนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามที่บริษัทจัดการเห็นสมควร โดยจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลครั้งละไม่เกิน 100% จากกำไรสะสม หรือกำไรจากการลงทุนสุทธิ หรือจากการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงาน