รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) แจ้งว่า จากกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมีข้อห่วงใยจากการใช้งบประมาณที่จะไม่ตรงวัตถุประสงค์นั้น สกพอ.ขอยืนยันถึงการบริหารงบประมาณฯ ดังกล่าวที่จะต้องเกิดความโปร่งใส และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้
1. ปัจจุบันในพื้นที่อีอีซีมี GDP ประมาณ 2,463,480 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15 ของ GDP ทั้งประเทศ โดยภาคการท่องเที่ยวมีจำนวนนักท่องเที่ยวในอีอีซีประมาณปีละ 20 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท
2. ผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผ่านมา โดยรวมได้ทำให้รายได้ในพื้นที่อีอีซีลดลงประมาณ 2 แสนล้านบาท การจ้างงานลดลงประมาณกว่า 1 แสนคน โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวเกิดความรุนแรง ซึ่งหากไม่ดำเนินการช่วยเหลือคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในอีอีซีลดลงร้อยละ 60 เหลือเพียง 4 ล้านคน และนักท่องเที่ยวไทยอาจจะลดลงถึงร้อยละ 50 ส่งผลต่อการจ้างงานด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอีอีซีลดลงไปประมาณ 100,000 อัตรา
3. สกพอ.จึงได้นำเสนอโครงการเพื่อดึงนักท่องเที่ยวใหม่และการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยโครงการนี้จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่จะได้พิจารณาให้เป็นกิจกรรมที่สามารถกระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเพื่อสร้างรายได้ให้ท้องถิ่น
4. กรณีการจัดกิจกรรมทัศนศึกษาของนักเรียน ที่สวนนงนุช พัทยา เนื่องจากสวนนงนุชเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ มีรวบรวมพันธุ์ไม้เขตร้อนมากกว่า 18,000 ชนิด การนำนักเรียนไปทัศนศึกษา นอกจากจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องพฤกษศาสตร์และเกิดความตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องให้สามารถประคับประคองกิจการให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้