ไทยเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกผลไม้เมืองร้อนที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีมูลค่าการส่งออกผลไม้จำนวน 45,613 ล้านบาท ล่าสุดกรมส่งเสริมการเกษตรยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอัตลักษณ์และเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ผ่านโครงการส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์ผลไม้ภาคตะวันออกและภาคใต้ เร่งส่งเสริมรวมกลุ่มแปลงใหญ่และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หวังสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรในแต่ละท้องถิ่น
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit board) กล่าวว่า ผลไม้นับเป็นสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของไทย สร้างรายได้ให้ประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งไทยเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกผลไม้เมืองร้อนที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีมูลค่าการส่งออกผลไม้จำนวน 45,613 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.22 ปัจจุบันเกษตรกรมีการปลูกไม้ผล 57 ชนิด พื้นที่ประมาณ 7.7 ล้านไร่ ผลผลิตปีละประมาณ 10.81 ล้านตัน และสืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งตรงกับฤดูกาลผลไม้ภาคตะวันออก (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) และภาคเหนือ (ลิ้นจี่) หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบต่อการบริหารจัดการผลไม้นั้น
ทางกรมส่งเสริมการเกษตรในฐานะเลขานุการ Fruit board ได้ร่วมกับหน่วยงานหลายภาคส่วนกำกับติดตามสถานการณ์การผลิต-การตลาดตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา เพื่อช่วยกระจายผลผลิตและระบายสินค้าในหลายช่องทางทั้งระบบออฟไลน์และออนไลน์ ผ่าน www.ตลาดเกษตรกรออนไลน์.com ซึ่งมีสินค้าเกษตรคุณภาพรวม 9 หมวดหมู่ กว่า 500 ชนิดสินค้า ที่คัดสรรจากเกษตรกรโดยตรง ซึ่งขณะนี้มียอดสั่งซื้อคิดเป็นมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 25 ล้านบาท ในขณะนี้ใกล้สิ้นสุดฤดูกาลผลไม้ภาคตะวันออกและลิ้นจี่จากภาคเหนือแล้ว โดยมีคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) เป็นแกนหลักในการดำเนินงาน วางแผนการผลิตเชื่อมโยงกับแผนการตลาดล่วงหน้าที่เหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายตลาดนำการผลิต พบว่า
ผลไม้ภาคตะวันออกทยอยเก็บเกี่ยวใกล้หมดแล้ว ได้แก่ ทุเรียน เก็บเกี่ยวแล้ว 514,619 ตัน คิดเป็นร้อยละ 93.56 คงเหลือ 35,416 ตัน พันธุ์หมอนทอง เกรด A ราคาหน้าสวนเฉลี่ยอยู่ที่ 104.84 บาท/กก. มังคุด เก็บเกี่ยวแล้ว 192,479 ตันคิดเป็นร้อยละ 90.64 คงเหลือ 19,866 ตัน เกรด A ราคาหน้าสวนเฉลี่ย 65.50 บาท/กก. เงาะ เก็บเกี่ยวแล้ว 186,787 ตันคิดเป็นร้อยละ 88.68 คงเหลือ 23,850 ตัน พันธุ์โรงเรียน เกรดคละราคาหน้าสวนเฉลี่ย 18.36 บาท/กก. ลองกอง เก็บเกี่ยวแล้ว 9,084 ตัน คิดเป็นร้อยละ 40.40 คงเหลือ 13,400 ตัน เกรด A ราคาหน้าสวนเฉลี่ย 36.50 บาท/กก. และลิ้นจี่ภาคเหนือเก็บเกี่ยวแล้ว 24,447 ตัน คิดเป็นร้อยละ 85.25 คงเหลือ 4,229 ตัน พันธุ์ฮงฮวย เกรด AA ราคาหน้าสวนเฉลี่ย 39.63 บาท/กก.ในส่วนผลไม้ภาคใต้ปีนี้คาดว่าจะมีผลผลิตตามฤดูกาล ดังนี้ ทุเรียน 554,486 ตัน มังคุด 144,537 ตัน เงาะ 49,993 ตัน ลองกอง 49,988 ตัน และลำไย (ภาคเหนือ) 386,065 ตัน
สำหรับโครงการส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์ผลไม้ประจำถิ่น กรมส่งเสริมการเกษตรได้ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี2561 เนื่องจากเล็งเห็นว่าไม้ผลหลายชนิด เช่น ทุเรียน ลำไย มังคุด มะม่วง เงาะ ลองกอง ส้มโอ สละ จำปาดะ ล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้ประจำท้องถิ่นหรือที่เรียกกันว่า “อัตลักษณ์ผลไม้” มีความสำคัญทางเศรษฐกิจตามบริบทของพื้นที่ จึงทำให้เหมาะสมที่จะส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาคุณภาพให้มีมาตรฐาน เกิดการเพิ่มมูลค่าให้กับการสร้างอัตลักษณ์ผลไม้ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีการพัฒนาการผลิตไม้ผลสู่ 4.0 ให้มากขึ้น
จึงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์ผลไม้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้รับทราบเรื่องราว (Story) คุณค่า คุณประโยชน์ และแหล่งที่มาที่ถูกต้องของผลไม้ จนส่งผลให้เกิดการเพิ่มมูลค่าจากการสร้างอัตลักษณ์ผลไม้ที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน และสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ต่อไปในอนาคต โดยบริหารจัดการผ่านกระบวนการเกษตรแปลงใหญ่อย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการผลิตสินค้าคุณภาพจากสวนที่ได้มาตรฐาน เตรียมพร้อมสู่มาตรฐานการส่งออก ยกระดับเกรดของสินค้าด้วยการรับรองคุณภาพ GAP การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย และสื่อสารเข้าใจง่ายสำหรับผู้บริโภคต่างท้องถิ่นตลอดจนให้มีการแปรรูปเพิ่มมูลค่า รวมทั้งการเชื่อมโยงตลาดกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ เนื่องจากภาคใต้นับเป็นภูมิภาคที่เป็นแหล่งผลิตไม้ผลที่สำคัญของประเทศไทยอีกแห่งหนึ่ง มีการผลิตไม้ผลหลายชนิดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และเป็นสินค้าอัตลักษณ์สร้างชื่อประจำจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น “ทุเรียน” นับว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ มีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกบริโภคกันอย่างมาก โดยเฉพาะทุเรียนอีกสายพันธุ์หนึ่งทางภาคใต้ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน นั่นคือ “ทุเรียนสาลิกา” ของดีเมืองพังงา หรือที่เรียกกันเป็นภาษาถิ่นว่า “ทุเรียนสากา” มีรสชาติหวานมันและมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ทุเรียนสาลิกา พังงามีแหล่งปลูกที่สำคัญอยู่ที่อำเภอกะปง จังหวัดพังงา พื้นที่ประมาณ 320 ไร่ เป็นทุเรียนพื้นบ้านพันธุ์แท้ดั้งเดิม ลักษณะผลกลมสวย ผลโตมีน้ำหนักประมาณ 1.5-2 กิโลกรัมต่อผล เปลือกบาง เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้ม แกนกลางมีสีสนิม เมล็ดเล็กและลีบ รสชาติหวานแหลม เนื้อละเอียด ไม่เละ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีฤดูกาลเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีผลไม้อื่นๆ ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เช่น ส้มโอทับทิมสยาม มังคุดในวง เงาะ ลองกอง สละ และจำปาดะ เป็นต้น จึงทำให้เหมาะที่จะส่งเสริมและพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสู่มาตรฐานการส่งออก ควบคู่ไปกับการพัฒนาการแปรรูป เพื่อทำให้การผลิตไม้ผลของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เกิดการพัฒนาต่อยอดสินค้าไม้ผลได้อย่างครบวงจร