ไทยออยล์ปรับลดค่าใช้จ่ายปี 63 กว่า 2 พันล้านบาทเพื่อรับมือวิกฤตจากผลกระทบโควิด-19 หลังธุรกิจการกลั่นได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกกระทบต่อธุรกิจการกลั่นฯ รุนแรง เนื่องจากแต่ละประเทศมีมาตรการล็อกดาวน์ แม้ว่าสถานการณ์ขณะนี้เริ่มดีขึ้น ราคาน้ำมันฟื้นตัวสูงสุดในรอบ 2 เดือน แต่จากราคาทึ่ตกต่ำสุดในเดือนเมษายน ไทยออยล์ก็ยังไม่แน่ใจว่าไตรมาส 2 จะขาดทุนสต๊อกน้ำมันอีกหรือไม่ หลังจากไตรมาส 1 ขาดทุนสต๊อกถึง 10,772 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ออกมาตรการรองรับการบริหารงานเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น ลดค่าใช้จ่ายทั่วไปราว 20-25% จากปกติส่วนนี้มีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท/ปี หรือลดราว 2,000-2,500 ล้านบาท ลดกำลังกลั่นในเดือนเมษายนลงบ้างเพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับตลาด แต่ในไตรมาส 1/63 ยังคงมีกำลังกลั่นเฉลี่ย 111% จากกำลังกลั่นของไทยออยล์ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน ปรับเปลี่ยนการผลิตน้ำมันเครื่องบิน (JET) ที่เป็นสัดส่วนผลิต 20% ของกำลังผลิต โดยปรับมาผลิตเป็นดีเซลราวครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งยังผลิต JET เนื่องจากไทยออยล์มีถังจึงเก็บไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่งในขณะนี้เริ่มขายได้เพราะคลายล็อกดาวน์ และมีการส่งออกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม จากที่ราคาน้ำมันตกต่ำในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ของบริษัทดีขึ้น
"ธุรกิจการกลั่น ไตรมาส 2/63 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 แต่จะไม่ขาดทุนสต๊อกอีกหรือไม่นั้นก็กำลังตามดู แต่หากมีก็คงน้อยลง โดยจากอุปทานน้ำมันดิบที่ยังคงล้นตลาดจากโควิด-19 ทำให้ซาอุดีอาระเบียคงนโยบายการลดราคาน้ำมันดิบที่ส่งออกมายังเอเชีย ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจการกลั่นได้รับประโยชน์ ส่วนในช่วงครึ่งหลังปี 63 ธุรกิจการกลั่นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และตลาดจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก" นายวิรัตน์กล่าว
ไทยออยล์ตั้งงบลงทุนช่วง 5 ปี (63-67) เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 3,486 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 3,263 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการขยายกำลังการกลั่นเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน และเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่น โดยมีเป้าหมายแล้วเสร็จในไตรมาส 1/66
ส่วนเงินลงทุนที่เหลือ 223 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงหน่วยผลิตต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ (Efficiency), ต่อเนื่อง (Reliability) และมีความยืดหยุ่น (Flexibility) ตลอดจนโครงการลงทุนทางด้านโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค และการลงทุนอื่นๆ เช่น โครงการ Digital Transformation โดยมีงบประมาณลงทุนเฉพาะในปี 63 รวมทั้งสิ้น 1,788 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เทกซัสปิดตลาดวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน โดยได้แรงหนุนจากการลดลงของสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ การปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) รวมทั้งอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่รัฐบาลต่างๆ พากันผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสส่งมอบเดือน มิ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์เพิ่มขึ้น 43 เซ็นต์ หรือ 1.28% ปิดที่ราคา 33.92 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนต์ปรับตัวขึ้น 31 เซ็นต์ หรือ 0.87% ปิดที่ 36.06 เหรียญสหรัฐ//บาร์เรล
สำหรับผลการดำเนินงานไทยออยล์ในไตรมาส 1/63 ขาดทุนสุทธิ 13,754 ล้านบาท หลังราคาน้ำมันดิบปรับลงแรงในช่วงสิ้นไตรมาส 1/63 เฉลี่ยที่ 33.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากราคาปิดสิ้นไตรมาส 4/62 ที่อยู่ระดับ 64.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสูงถึง 10,772 ล้านบาท