xs
xsm
sm
md
lg

“ศักดิ์สยาม” ดัน กม. “เรียกรถผ่านแอปฯ” ใช้ในปลายปีนี้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ศักดิ์สยาม” เผย กม.แอปฯ เรียกแท็กซี่-จักรยานยนต์รับจ้างเสร็จแล้ว เตรียมชง ครม.และเสนอสภาฯ พ.ค.นี้ คาดใช้ได้ปลายปีนี้ และเตรียมชง ครม.ออกกฎกระทรวงทำป้ายทะเบียนพิเศษ ตั้งขั้นต่ำป้ายละ 1 ล้าน พร้อมรื้อเกณฑ์-ข้อสอบใบขับขี่ใหม่ วาง 7 ขั้นตอนสุดเข้ม

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้บริการรถรับจ้างสาธารณะผ่านแอปพลิเคชันว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้รายงานว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.รถยนต์ ซึ่งครอบคลุมทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์รับจ้าง ให้ใช้แอปพลิเคชันสำหรับเรียกใช้บริการรถรับจ้างสาธารณะได้ ซึ่งในวันที่ 20 เม.ย.นี้ ขบ.จะเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว มายังกระทรวงคมนาคมเพื่อลงนามและเสนอต่อกฤษฎีกา เข้าสู่ขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังผ่านการพิจารณาของกฤษฎีกาจะส่งเริ่มกลับมาที่กระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ จากนั้นจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 1 ประจำปี 2563 ได้ในเดือน พ.ค.นี้ หลังจากผ่านการพิจารณาของสภาฯ แล้ว นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับต่อไป ซึ่งคาดว่า จะใช้ได้ภายในปลายปี 2563

@เพิ่มเกณฑ์และข้อสอบใบขับขี่

นอกจากนี้ ขบ.ยังได้ดำเนินการยกระดับมาตรฐานการออกใบอนุญาตขับรถยนต์ ซึ่งใช้ต้นแบบจากประเทศที่มีมาตรฐานในการออกใบอนุญาตขับรถยนต์ที่นำไปสู่การใช้รถใช้ถนนที่มีความปลอดภัย เช่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ โดยมี 7 มิติ ได้แก่ 1. การกำหนดสภาวะโรค โดยกำหนดโรคต้องห้ามและการออกใบรับรองแพทย์ร่วมกับแพทยสภาที่เป็นมาตรฐาน 2. การทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทางเวชศาสตร์จราจร เพื่อกำหนดรูปแบบในการประเมิน 3. การอบรมและทดสอบความรู้ภาคทฤษฎีของผู้ขอรับใบอนุญาต โดยปรับปรุงเนื้อหาใหม่ และมีระบบ E-Learning วิชาพื้นฐานให้ศึกษาข้อมูลก่อนสอบ และกำหนดให้ต้องผ่านหลักสูตร อบรมการปฐมพยาบาลและการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเนื้อหาการสอบภาคทฤษฎี เป็นแบบวิเคราะห์ต่อสถานการณ์


4. การอบรมขับรถและทดสอบความสามารถของผู้ขอรับใบอนุญาต ภาคปฏิบัติ ซึ่งจะมีคู่มือฝึกหัดขับรถจาก E-Learning ให้ศึกษาก่อน จากนั้นจะทดสอบและนำไปสู่การออกถนนจริง โดยมีครูนั่งทดสอบไปด้วย ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยมีเกณฑ์ให้คะแนนจึงจะผ่าน ซึ่งเป็นรูปแบบเหมือนหลายๆ ประเทศ
5. การบริหารจัดการ จะมีการปรับปรุงบทบาทจากผู้ควบคุมกำกับดูแล และกำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบ ออกใบอนุญาต เป็นจัดตั้งศูนย์ทดสอบสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้น โดยจะกำหนดคุณสมบัติสำหรับการจัดตั้งศูนย์ทดสอบฯ ดังกล่าว
6. ปรับปรุงรูปแบบใบอนุญาตขับรถ ซึ่งปัจจุบันยังไม่เป็นสากล และเพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการจราจรทางบก ค.ศ. 1968 ซึ่ง ครม.มีมติให้กระทรวงคมนาคม และ ขบ.ลงสัตยาบัน ซึ่งจะทำให้สามารถนำใบอนุญาตขับรถของไทยใช้ในประเทศที่เป็นสมาชิกอนุสัญาเวียนนาฯ ได้ คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในปี 2564

7. การควบคุมพฤติกรรมการขับรถด้วยมาตรการตัดแต้ม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ซึ่งขบ.ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อบูรณาการการใช้ กม.จราจรและ กม.ขนส่งฯ ร่วมกัน ในการกำหนดฐานความผิด ในการตัดคะแนน และการพักใช้ใบอนุญาตที่จะเข้มข้นมากขึ้น


“เมื่อทั้ง 7 มิติบังคับใช้ครบ ต่อไปกรณีทำผิดกฎจราจรจะถูกตัดแต้ม จนถึงเกณฑ์จะถูกยึดใบอนุญาต หากจะขอใหม่จะต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 ใหม่”

@ชงกฎกระทรวงออกป้ายทะเบียนพิเศษ ราคาเริ่มต้น 1 ล้าน

สำหรับการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กองทุนความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน (กปถ.) นั้น ขบ.ได้กำหนดทะเบียนรถในรูปแบบพิเศษเพื่อให้เป็นป้ายทะเบียนเฉพาะ โดยเบื้องต้นได้กำหนดขนาดแผ่นป้าย ขนาดตัวอักษร การจัดวางตัวอักษร ตัวเลข และข้อความ ต้องไม่ก่อให้เกิดการตีความ ที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือมีความหมายกระทบ หรือทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ที่ 1 ล้านบาทต่อป้ายทะเบียน ซึ่งจะรองรับสำหรับบุคคล หรือนิติบุคคล ที่ต้องการป้ายทะเบียนรถแบบพิเศษเป็นการเฉพาะ ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเสนอไปยัง ครม.ในสัปดาห์หน้าเพื่อออกกฎกระทรวงต่อไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้เข้ากองทุน กปถ. และจะทำให้มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนได้เพิ่มขึ้น

สำหรับการประมูลเลขทะเบียนสวย ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่ ผู้เข้าประมูลต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย, ไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิประมูลมาก่อน, ต้องไม่เป็นตัวแทนหรือนอมินี โดยต้องวางเงินค้ำประกันก่อนประมูลในอัตรา 10% ของมูลค่าประมูล เช่น กรณีประมูลเลขทะเบียน 4 ตัวเหมือนกัน ต้องวางเงินค้ำประกัน 50,000 บาท หากประมูลได้ในวงเงิน 1 ล้านบาทจะต้องเพิ่มเงินค้ำประกันเป็น 100,000 บาท หรือเท่ากับผู้ประมูลได้ต้องวางเงินเพิ่มอีก 50,000 บาททันทีในวันประมูล และชำระให้ครบมูลค่าประมูลภายใน 30 วัน หากเลยกำหนด ไม่ชำระให้ครบถ้วน ขบ.จะยึดเงินค้ำประกัน และนำเลขดังกล่าวกลับไปประมูลใหม่ และตัดสิทธิ์ผู้เข้าร่วมประมูลดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถร่วมประมูลได้อีกต่อไป

“เป็นการดำเนินการตามกลไกตลาด ไม่สามารถสร้างราคาเทียมหรือประมูลเพื่อปิดกั้นผู้อื่นที่ต้องการเลขดังกล่าว รวมถึงสร้างความเข้มแข็งการเงินของกองทุนได้” นายศักดิ์สยามกล่าว






กำลังโหลดความคิดเห็น