GPSC โชว์กำไรสุทธิงวดปี 62 พุ่ง 21% มาอยู่ที่ 4.06 พันล้านบาท เหตุรับรู้ผลดำเนินงานโรงไฟฟ้าใหม่ที่จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ และโรงไฟฟ้าของโกลว์พลังงาน
นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินและบัญชีองค์กร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดปี 2562 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 4,060.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 3,359.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21% เนื่องจากรับรู้ผลประกอบการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2562 ทั้งโรงไฟฟ้าไซยะบุรี โรงไฟฟ้าน้ำลิก 1 ศูนย์ผลิตสาธารณูปการระยองแห่งที่ 4 (Cup-4) และโครงการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรมชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี
รวมทั้งรับรู้ผลการดำเนินงานของบริษัท โกลว์พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) และโรงไฟฟ้าศรีราชา ปรับตัวเพิ่มสผูงขึ้นจากค่าความพร้อมจ่ายตามสัญญาที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากไม่ร่วมการตัดจำหน่ายจากการประเมินมูลค่าความยุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิ 1,116 ล้านบาท บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิ 5,177 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้เสนอจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละประมาณ 74 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม แบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 จึงยังคงเหลือส่วนเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2562 ที่จะต้องจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท โดยบริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 (หรือ XD วันที่ 26 กุมภาพันธ์) และกำหนดจ่ายเงินปันผลประจำปีที่อัตราหุ้นละ 0.80 บาทต่อหุ้นในวันที่ 17 เมษายน 2563 โดยจะจ่ายเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 แล้ว
ทิศทางการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2562 เนื่องจากการรับรู้ผลประกอบการจาก GLOW ที่เข้ามาแบบเต็มปี รวมไปถึงรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้านวนคร ส่วนขยาย (NNEG Expansion) กำลังการผลิตตามสัดส่วน 18 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ กำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ของปี 2563 และไตรมาส 2 ปี 2564 ตามลำดับ
ในส่วนของสถานการณ์น้ำแล้งนั้น บริษัทฯ ได้มีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และได้เตรียมมาตรการและแนวทางการบริหารจัดการน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภคได้อย่างเพียงพอและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถดำเนินงานและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงแสวงหาโอกาสในการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปการเข้าการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศอาเซียน เช่น การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Gas to Power) ที่ประเทศพม่า พร้อมทั้งการศึกษาและลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการกักเก็บพลังงาน และโครงการพลังงานทดแทน รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในอาเซียนและเอเชียตะวันตก