ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯ ธ.ค.ลดลง และคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าก็ยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง เหตุวิตก ศก.โลก และค่าเงินบาทที่ยังแนวโน้มแข็งค่า ขณะที่แบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อฉุดยอดซื้อรถยนต์ธ.ค.62 ลดลง ขณะที่ปี 63 ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ 2 ล้านคันลดลง 0.68%
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม 2562 อยู่ที่ระดับ 91.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 92.3 ในเดือนพฤศจิกายน 2562 เนื่องจากกังวลกำลังซื้อในประเทศ ปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรง ทำให้กระทบต่อผลผลิตและรายได้ของภาคเกษตร สะท้อนจากคำสั่งซื้อและยอดขายของสินค้าที่ลดลงทั้งจากสินค้าคงทนและไม่คงทน ขณะเดียวกันผู้ส่งออกยังได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง รวมทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่กระทบต่อการส่งออกด้วย
ส่วนดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 100.1 ลดลงจากระดับ 101.3 ในเดือนพฤศจิกายน 2562 เนื่องจากยังกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดในตะวันออกกลางก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการและการส่งออกสินค้าไปยังตะวันออกกลาง ซึ่งผู้ประกอบการต้องวางแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า ยอดขายในประเทศรถยนต์เดือนธันวาคม 2562 อยู่ที่ 89,285 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 21.4% จากการเข้มงวดขอสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ ประกอบกับเป็นช่วงเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งอีโคคาร์หลายบริษัท และเปลี่ยนรุ่นรถกระบะในบางบริษัท แต่ตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึง 12.6% โดยมียอดจองในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2019 อยู่ที่ 37,489
ส่วนปี 2563 ทาง ส.อ.ท.ได้ประมาณการตัวเลขการผลิตรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ในส่วนของรถยนต์คาดว่าจะประมาณการการผลิตรถยนต์ 2 ล้านคัน น้อยกว่าปี 2562 ที่มีจำนวน 2,013,710 คัน หรือลดลง 0.68% แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 1 ล้านคัน ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1 ล้านคัน ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ ได้มีการคาดการณ์การผลิตรถมอเตอร์ไซค์ในปี 2563 ประมาณ 21. ล้านคัน เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 4 แสนคัน ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1.7 ล้านคัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงผันผวน ประกอบกับค่าเงินบาทยังคงต้องติดตามว่าจะมีทิศทางอย่างไร รวมถึงกำลังซื้อในประเทศ