วันนี้(24 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมรณรงค์ส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 พร้อมเป็นผู้เติมน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ด้วยตัวเอง เพื่อนำร่องในการใช้กับรถของหน่วยราชการ โดยมี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นาย ชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นาย อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่ามาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการการสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบของประเทศให้ มีความยั่งยืน ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันไม่ให้ราคาผลผลิตตกต่ำ โดยมีแนวทางที่จะกำหนดให้น้ำมันดีเซล B10 ให้เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ ส่วนน้ำมันดีเซล B7 สำหรับรถยุโรป และรถยนต์รุ่นเก่า ที่ไม่สามารถใช้ B10 ได้ และน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว B20 เป็นน้ำมันดีเซลทางเลือก สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้มีมาตรการด้านราคาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภค หันมาใช้น้ำมันดีเซล B10 เพิ่มขึ้นโดยกำหนดราคาให้ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 ที่ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2562 และได้เพิ่มส่วนต่างขึ้นอีกเป็น 2 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ซึ่งช่วยให้ตัวเลขยอดการใช้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ได้มีการคาดการว่า ปริมาณการใช้ ดีเซล B10 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ วันละ 50 ล้านลิตร ในช่วงเดือนมิถุนายน 2563 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้ไบโอดีเซล (B100) ได้ประมาณ 7.0 ล้านลิตรต่อวัน กระทรวงพลังงาน ตั้งเป้าหมายที่ต้องการส่งเสริมการใช้ดีเซล B10 ไปให้ถึงที่ 57 ล้านลิตรต่อวันดีเซล B7 ที่ 5 ล้านลิตรต่อวัน และ ดีเซล B 20 ที่ 5 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งจะสามารถดูดซับ น้ำมันปาล์มดิบหรือCPO ในภาคพลังงาน ให้ได้ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของประเทศในปัจจุบัน (หรือประมาณ 2.2 ล้านตันต่อปี) ซึ่งจากตัวเลขจะช่วยสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีจำนวนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมด มีประมาณ 10.5 ล้านคัน ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีรถยนต์ที่ค่ายรถให้การรับรองว่าใช้ดีเซล B10 ได้ ประมาณ 5.3 ล้านคัน หรือร้อยละ 50 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 จะเป็นในส่วนของรถยุโรป และรถยนต์รุ่นเก่าที่หมดการรับประกันจากค่ายรถแล้ว ดังนั้น หากยังคงมีนโยบายที่สร้างส่วนต่างราคาระหว่าง ดีเซล B10 และ B7 ก็เชื่อว่าผู้ใช้รถยนต์รุ่นเก่าเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนใจมาใช้ดีเซล B10 เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต จนบรรลุถึงเป้าหมายในที่สุด
ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล B10 ในวันที่ 1 มกราคม 2563 นี้คลังน้ำมันทุกแห่งจะมีน้ำมันดีเซล B10 จำหน่าย และตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป น้ำมันดีเซล B10 จะมีจำหน่ายในทุกสถานีบริการน้ำมัน จากปัจจุบันมีจำหน่ายแล้ว จำนวน 450 แห่ง
นอกจากนี้ การส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันดีเซล B10 แทน B7 จะช่วยสร้างสมดุลปาล์มน้ำมัน ทั้งระบบ แล้ว ยังช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้อีกด้วย โดยผลการศึกษา พบว่า การใช้น้ำมันดีเซล B10 จะช่วยลดฝุ่นละออง (PM) ลงได้ประมาณ 15% และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ลงได้ประมาณ 3.5% หรือ 300 ตัน/ปี