เวิร์กชอปฟื้นฟู ขสมก.ล่ม พนักงานฮือต้านแปรรูป ผอ.ขสมก.ถอยตั้งหลัก ขอทำความเข้าใจพนักงานใหม่ ยอมรับอาจสื่อสารคลาดเคลื่อนทำให้เข้าใจผิด ยืนยันเดินตามแผนฟื้นฟูเดิม ปรับแค่ซื้อรถ 3,000 คัน เป็นเช่าใช้ตามระยะทางจริง ชี้ประหยัดและเหมาะสมกว่า ยันคนขับเป็น ขสมก.ไม่ลด-ไม่แปรรูป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่มีพนักงานและสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) รวมตัวชุมนุมด้านหน้ากระทรวงคมนาคมเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (21 พ.ย.) เพื่อคัดค้านนโยบายแปรรูป ขสมก. ขณะที่เวลา 14.00 น. ขสมก.จะมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เรื่องการปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการประชุม ซึ่งพนักงาน ขสมก.ได้เดินทางเข้าไปในอาคารสโมสรซึ่งเป็นสถานที่จัดเวิร์กชอป ปรับปรุงแผนฟื้นฟู โดยพนักงานต้องการขอร่วมรับฟังข้อมูล
ขณะที่นายศักดิ์สยาม รมว.คมนาคม ไม่ได้ลงมาพบพนักงานแต่อย่างใด โดย นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร กรรมการผู้ช่วย รมว.คมนาคม ยืนยันว่าได้กำหนดให้พนักงานส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม 10 คนแล้ว ไม่สามารถให้ทุกคนเข้าในห้องประชุมได้หมด จึงเกิดการโต้เถียงกัน และทำให้สถานการณ์หน้าห้องประชุมมีความวุ่นวาย โดยพนักงานส่วนหนึ่งได้นั่งรอด้านหน้าห้อง ขณะที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้งประมาณ 20 นายเข้ามาดูแลสถานการณ์
หลังจากนั้น นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. ได้ประกาศในห้องประชุมว่า เนื่องจากสถานการณ์ไม่เรียบร้อยจึงขอเลื่อนการจัดเวิร์กชอปออกไปก่อน โดยจะกลับไปเจรจากับพนักงาน ขสมก.อีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมาอาจจะเกิดการสื่อสารที่ทำให้พนักงานเกิดความเข้าใจผิด ยืนยันว่าแผนฟื้นฟู ขสมก.มี 7 เรื่องเหมือนเดิม โดยมีการแก้ไข 2 เรื่อง คือ การจัดหารถโดยสารใหม่ 3,000 คัน และการปรับปรุงเส้นทางเดินรถ
นายสุระชัยกล่าวว่า การจัดหารถโดยสารใหม่ 3,000 คัน พนักงานเข้าใจว่าเป็นการจ้างเอกชนมาวิ่ง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่มีการให้เอกชนร่วมทุนแต่อย่างใด ซึ่งตามแผนเดิม ขสมก.จะจัดรถให้ครบ 3,000 คัน ซึ่งมีทั้งการเช่า การปรับปรุงรถเก่า และการซื้อรถใหม่ จำนวน 3,000 คันเท่าเดิม แต่ปรับปรุงวิธีเป็นการเช่ารถโดยสารใช้พร้อมบริการ โดยจ่ายตามระยะทาง (กม.) ที่บริการจริง (Performance Based Contract : PBC) จำนวน 3,000 คันเท่าเดิม โดยคนขับรถยังเป็นพนักงาน ขสมก.ทุกคน
ยืนยันว่าการเช่ารถโดยสารวิ่งเป็นการบริหารต้นทุนที่ดีที่สุด เพราะในอนาคตอีก 6-7 ปี รถไฟฟ้า 10 สาย จะเปิดให้บริการครบเกือบ 500 กม. ซึ่งรถเมล์จะต้องเปลี่ยนแปลงการวิ่งไปเป็นฟีดเดอร์ เชื่อมกับรถไฟฟ้า การเช่ารถทำให้ปรับตัวง่ายกว่าการซื้อ และจะต้องวิ่งสั้นลงแต่ถี่มากขึ้น ดังนั้น อาจต้องใช้รถ 8-9 เมตร ไม่ใช่ 12 เมตรเหมือนปัจจุบันที่รถเมล์วิ่งเป็นสายหลัก การเช่ารถจะทำให้ปรับตัวได้ดีกว่าการซื้อรถมาวิ่ง
สำหรับแผนฟื้นฟูที่เสนอ ครม.เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2562 มี 7 เรื่อง ได้แก่ 1. การจัดหารถโดยสารใหม่ 3,000 คัน 2. การใช้เทคโนโลยีให้บริการ ทั้งระบบ GPS เพื่อควบคุมการเดินรถ และระบบ E-Ticket ในการจัดเก็บค่าโดยสาร 3. การปรับปรุงเส้นทางเดินรถไม่ให้ทับซ้อน และเชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ 4. การปรับโครงสร้างองค์กร 5. การเกษียณอายุก่อนกำหนด (แผนเดิม ลดพนักงาน 6,000 คนเศษ (พนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร) 5. พัฒนาพื้นที่เชิงธุรกิจ 7. การขอให้ภาครัฐรับภาระหนี้สิน
“เรื่องนี้พูดคุยกับกรรมการสหภาพฯ ขสมก.ไปแล้ว แต่ไม่ทราบไปสื่อสารกันต่ออย่างไร การเช่ารถมาวิ่ง โดยจ่ายค่าบริการตาม กม.ที่วิ่งนั้นเป็นจุดที่ทำให้เกิดความคุ้มทุนที่สุด และไม่กระทบต่อพนักงาน ขสมก. อีกทั้งเป็นรูปแบบที่จะช่วยทั้ง ขสมก.จะไม่ขาดทุน พนักงานมีความมั่นคง และประชาชนได้รับบริการที่ดีและลดปัญหาจราจร เพราะจะไม่มีปัญหารถวิ่งทับซ้อนเส้นทางกัน รถติดน้อยลง เอกชนไม่ต้องวิ่งรถแข่งเพื่อแย่งผู้โดยสารกัน
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า การฟื้นฟู ขสมก.เพื่อแก้ปัญหาขาดทุน โดยการจัดหารถใหม่ และจะมีการปรับปรุงเส้นทางใหม่เพื่อลดความซ้ำซ้อน เช่น เส้นทางเดินรถจาก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พหลโยธิน ไปถึงห้าแยกลาดพร้าว มีรถถึง 30 สาย ส่วนบนนถนนลาดพร้าวมีถึง 20 สายที่วิ่งทับซ้อนกันอยู่ ต้องปรับปรุงเส้นทางใหม่ การกำหนดเส้นทางลักษณะเป็น Liner Feeder Express และ Circle เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า การเดินรถสั้นลงและถี่มากขึ้น ซึ่งประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้น ภายใต้ตั๋วค่าโดยสาร 30 บาททั้งวัน
สำหรับการจัดหารถโดยสารใหม่ และโครงการเกษียณก่อนอายุ ตามแผนฟื้นฟูเดิม ใช้วงเงินรวม 27,214 ล้านบาท ประกอบด้วย การซื้อรถใหม่ 14,111 ล้านบาท เช่ารถ 7,098 ล้านบาท และเกษียณก่อนอายุ 6,004 ล้านบาท
แผนปรับปรุงใหม่ ใช้วงเงินรวม 16,004 ล้านบาท โดยไม่มีการลงทุนเรื่องจัดหารถใหม่ มีเพียงเงินขอรับการอุดหนุน (PSO) ปีละ 2,000 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี และเกษียณก่อนอายุ 6,004 ล้านบาทเท่านั้น