กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศรับนโยบาย 2 รัฐมนตรีพาณิชย์ เร่งงานช่วงโค้งสุดท้ายปี 62 เตรียมผลักดัน 5 เรื่องเร่งด่วน ทั้งการเจรจาอาร์เซ็ป การเอฟทีเอกับตุรกี ปากีสถาน ศรีลังกา การฟื้นเอฟทีเอไทย-อียู หาข้อสรุปเข้าร่วม CPTPP และการเจรจาเอฟทีเอกับอังกฤษ พร้อมเร่งผลักดันเกษตรกร ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอส่งออกสินค้าสู่ตลาดโลก
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2562 กรมฯ จะดำเนินการเจรจาการค้าระหว่างประเทศตามนโยบายที่ได้รับจาก 2 รัฐมนตรีพาณิชย์ ทั้งนายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยมี 5 เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ คือ การเร่งหาข้อสรุปการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) , การสานต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ค้างอยู่ให้มีความคืบหน้า , การฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป (อียู , การหาข้อสรุปการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และการเตรียมการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหราชอาณาจักร
สำหรับการเจรจาอาร์เซ็ป นายจุรินทร์ จะเป็นประธานการประชุมระดับรัฐมนตรีในวันที่ 7-8 ก.ย.2562 ที่กรุงเทพฯ มีเป้าหมายขับเคลื่อนการเจรจาให้สมาชิกอาร์เซ็ปทั้ง 16 ประเทศ สามารถหาข้อสรุปในประเด็นที่ยังมีความเห็นและท่าทีที่ต่างกัน เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กลไกการระงับข้อพิพาท การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคล เป็นต้น เพื่อให้การเจรจาในภาพรวมสำเร็จได้ภายในปีนี้
ส่วนการเจรจาความตกลงเอฟทีเอที่ค้างอยู่ ไทยมีกำหนดประชุมกับปากีสถานรอบต่อไปในเดือนต.ค.2562 หารือกับตุรกีในเดือนธ.ค.2562 และกับศรีลังกา อยู่ระหว่างรอส่งสัญญาณความพร้อม หลังการปรับคณะเจรจาของศรีลังกา และการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู คาดว่าผลการศึกษาและการรวบรวมความเห็นของภาคส่วนต่างๆ ของไทยจะเสร็จในปลายเดือนต.ค.2562 จากนั้นกรมฯ จะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา
ทางด้านการหาข้อสรุปเรื่อง CPTPP เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้จ้างศึกษาประโยชน์และผลกระทบต่อไทยในการเข้าร่วม CPTPP รวมทั้งได้จัดหารือเพื่อระดมความเห็นผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนทั่วประเทศแล้ว ซึ่งกรมฯ จะนำสรุปผลการศึกษาและผลการระดมความเห็นเสนอต่อที่ประชุม กนศ. และ ครม. พิจารณาเรื่องนี้ต่อไป ขณะที่การเตรียมการเจรจาเอฟทีเอกับสหราชอาณาจักร ภายหลังเบร็กซิท (Brexit) กรมฯ อยู่ระหว่างหารือกับสหราชอาณาจักรเรื่องการจัดทำข้อมูลนโยบายการค้า และศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ที่จะทำเอฟทีเอระหว่างกัน
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแผนที่จะเตรียมความพร้อมให้เกษตรกร และผู้ประกอบการไทย สามารถใช้ประโยชน์จากการเจรจาได้สูงสุด รวมถึงรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ เป็นต้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความตกลงเอฟทีเอ ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ผลกระทบ และการปรับตัวของไทย โดยจะลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และเน้นสินค้าในพื้นที่ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญของไทย เช่น ข้าว ยาง มันสำปะหลัง ผัก ผลไม้ โคนม โคเนื้อ และอาหารแปรรูปต่างๆ เป็นต้น
ในปี 2561 การค้าไทยและกับประเทศคู่เจรจา FTA 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ มีมูลค่ากว่า 300 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11% คิดเป็น 60% หรือ 2 ใน 3 ของการค้าไทยกับโลก และในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค.2562 มีมูลค่าการค้ากับ 18 ประเทศเอฟทีเอ 202.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออก 88.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้า 87.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้า เช่น น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก และเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น