xs
xsm
sm
md
lg

กรมพัฒน์ฯ ติวเข้มสถาบันการเงิน เรียนรู้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ หวังช่วยให้ปล่อยกู้ง่ายขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กรมพัฒนาธุรกิจการค้าติวเข้มสถาบันการเงิน แบงก์ ผู้รับหลักประกัน เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ วิธีปฏิบัติในการรับหลักประกันทางธุรกิจ และการบังคับทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน หวังช่วยธุรกิจมีความสะดวกในการขอกู้เงิน พร้อมทำความเข้าใจการปรับปรุงระบบการจดทะเบียนหลักประกัน การนำ “ไม้ยืนต้น” มาใช้เป็นหลักประกัน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดสัมมนาผู้รับหลักประกัน “การบังคับหลักประกันทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ” ให้กับผู้รับหลักประกันกลุ่มสถาบันการเงิน บุคคลอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวงมาแล้ว 2 ฉบับ คือ กฎกระทรวงกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกัน พ.ศ. 2559 และกฎกระทรวงกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกัน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับหลักประกัน โดยมีกลุ่มผู้รับหลักประกันเข้าร่วมสัมมนากว่า 250 คน ทั้งธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐ ผู้ประกอบธุรกิจแฟกตอริ่ง ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าซื้อแบบลีสซิ่ง และผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

โดยการจัดสัมมนามีเป้าหมายเพื่อเสริมความรู้แก่ผู้รับหลักประกัน ให้ทราบถึงบทบัญญัติของกฎหมาย สิทธิและหน้าที่ของผู้รับหลักประกัน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ที่นำหลักประกันทางธุรกิจประเภทต่างๆ มาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ และแนวทางการบังคับทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ กรณีที่ผู้ขอกู้ไม่สามารถผ่อนชำระเงินกู้ได้ รวมถึงได้ชี้แจงการพัฒนาปรับปรุงระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ และการเพิ่มทรัพย์สินประเภทไม้ยืนต้นในระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อกระตุ้นให้มีการปล่อยกู้กรณีมีการนำไม้ยืนต้นมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น

“การนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ลดข้อจำกัดด้านเงื่อนไขหลักประกัน ได้รับต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น เพิ่มโอกาสและศักยภาพของผู้ประกอบการในการทำธุรกิจจากการได้รับเงินทุนสนับสนุน ลดปัญหาการกู้ยืมนอกระบบ สถาบันการเงินมีหลักประกันในการชำระหนี้ตามกฎหมายเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ เพิ่มโอกาสในการขยายการให้สินเชื่อ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม แต่การดำเนินการในเรื่องนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน” นายพูนพงษ์กล่าว

ทั้งนี้ กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมีประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในปัจจุบัน ซึ่งเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบกิจการทั้งรายใหญ่ และรายเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีกหนึ่งช่องทาง โดยสามารถนำทรัพย์สินในกิจการ เช่น กิจการ สินค้าคงคลัง สิทธิในบัญชีเงินฝาก เป็นต้น มาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และยังคงสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์หลักประกันดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2562) มีผู้มาขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 410,669 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันรวมทั้งสิ้น 6,669,642 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องประเภทบัญชีเงินฝากธนาคาร ยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.91 (มูลค่า 3,462,084 ล้านบาท) รองลงมาคือ สิทธิเรียกร้องประเภทลูกหนี้การค้าสัญญาจ้าง สัญญาเช่า สัญญาซื้อขาย คิดเป็นร้อยละ 23.08 (มูลค่า 1,539,021 ล้านบาท) สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ ช้าง คิดเป็นร้อยละ 21.88 (มูลค่า 1,459,811 ล้านบาท) ทรัพย์สินทางปัญญา คิดเป็นร้อยละ 0.03 (มูลค่า 1,985 ล้านบาท) กิจการ คิดเป็นร้อยละ 0.01 (มูลค่า 383 ล้านบาท) อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 0.002 (มูลค่า 138 ล้านบาท) และไม้ยืนต้น คิดเป็นร้อยละ 0.002 (มูลค่า 129 ล้านบาท)


กำลังโหลดความคิดเห็น