xs
xsm
sm
md
lg

เจาะลึก ขสมก.ล้างหนี้ชาติไหนถึงกำไร จัดรถใหม่ปี 62 ขึ้นค่ารถเมล์ 1 บาทปี 67

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ขสมก.มีผลดำเนินการเรียกได้ว่า "ขาดทุนติดลบ" มาโดยตลอด และสะสมพอกพูนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันกว่า 1.2 แสนล้านบาท ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมถึงมีผลขาดทุนทั้งๆ ที่ผู้โดยสารก็ใช้บริการกันอย่างคึกคัก แถมเรียกได้ว่าเป็นกิจการที่ผูกขาดในการให้บริการ และไม่ต้องเสียค่าสัมปทานเส้นทาง ซึ่งมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ขนาดทุนแบบบานเบอะ มีหนี้สินรุงรัง

***เปิดปมสาเหตุทำไม ขสมก.ขาดทุนนับแสนล้าน

เมื่อย้อนไปดูเจตนารมณ์ในการก่อตั้ง ขสมก.จากการรวมเอากิจการของเอกชนเข้ามาเป็นของรัฐ เพราะต้องการให้ระบบรถเมล์นั้นเป็นระบบขนส่งมวลชนเป็นการให้บริการที่ไม่แสวงหาผลกำไรและการให้บริการขนส่งมวลชนของรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ต้องยอมรับปัญหาการให้บริการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ล้มลุกคลุกคลาน และค่อยๆ พัฒนาการบริการให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่สภาพรถเมล์ที่ให้บริการมีสภาพเก่าแก่ ปล่อยควันดำ รวมถึงพนักงานที่ให้บริการพูดจาไม่สุภาพ หรือขับรถเร็วจนก่อให้เกิดอันตราย หลายครั้งที่เกิดปัญหาเช่นนี้พบเห็นได้บนท้องถนน รวมถึงความต้องการใช้รถเมล์ของผู้โดยสารมีจำนวนมาก แต่รถเมล์ก็ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการและไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้เดินทางได้ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทางและเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ

ขณะที่กระทรวงคมนาคมที่ดูแล ขสมก. และจัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐไม่เพียงพอและมีการควบคุมอัตราค่าโดยสารให้ต่ำกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงส่งผลให้เกิดการขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ที่นักการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่กล้าตัดสินใจในการแก้ปัญหาการขึ้นราคาค่าโดยสารเพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อประชาชน และทำให้เสียฐานเสียงของพรรคในอนาคต จึงต้องพยุงราคาค่าโดยสารในอัตราเดิมหรือขยับเพิ่มขึ้นตามสภาพราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูงขึ้น แต่ก็ไม่คุ้มกับต้นทุนการให้บริการของ ขสมก.อยู่ดี ทำให้เกิดปัญหาการขาดทุนสะสมเรื่อยมา

สำหรับสภาพปัญหาการจราจรที่ติดขัดในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่น ประกอบกับการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนรถไฟ ทำให้มีการปิดช่องทางบนถนนในพื้นที่ก่อสร้าง ส่งผลให้คุณภาพการบริการของ ขสมก.ลดลง ประกอบกับต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงสภาวะการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นประชาชนจึงเปลี่ยนไปใช้บริการประเภทอื่นหรือใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงระบบขนส่งอื่นๆ ทดแทน เช่น รถไฟฟ้า ระบบขนส่งทางเรือ หรือรถบริการรับจ้างอื่นๆ ทำให้ปริมาณผู้โดยสารที่หันมาใช้รถเมล์ของ ขสมก.ลดน้อยลงเรื่อยๆ

นอกจากนี้ เส้นทางการเดินรถของ ขสมก. และการประกอบการที่ไม่เป็นระบบและขาดประสิทธิภาพ เช่น ปัญหาเส้นทางการเดินรถที่ยาวมากและปริมาณความต้องการใช้ในชั่วโมงเร่งด่วนเกิดขึ้นเฉพาะบางช่วงของเส้นทาง อีกทั้งยังไม่ได้วางแผนเส้นทางอย่างเป็นระบบ ไม่มีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้โดยสารที่มีการขยายตัวออกไปในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งปัญหาการจราจรที่ติดขัดในพื้นที่ที่ให้บริการ

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ ขสมก.ต้องประสบปัญหาภาวะขาดทุนจากการให้บริการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นปัญหาที่หนักอึ้งสำหรับเจ้ากระทรวงหูกวาง ในยุคที่นักการเมืองมานั่งบริหารในตำแหน่ง "รมว.-รมช.คมนาคม" แต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการแก้ปัญหา ทั้งๆ ที่รับทราบปัญหามาโดยตลอด

แต่กลับจะเลือกแก้ไขปัญหาเพียงบางจุดเพราะมีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ เช่น การจัดซื้อรถเมล์ใหม่ 400 คัน ที่พยายามผลักดันจากหลายรัฐมนตรีและหลายรัฐบาล แต่ก็ถูกจับจ้องและตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างว่าไม่มีความโปร่งใส หรือมีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย ทำให้มีการล้มประมูลไปในที่สุด

จนในที่สุดมาในรัฐบาล "ประยุทธ์" ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ทำให้การบริหารจัดการและแก้ปัญหาของ ขสมก.เดินหน้าอย่างจริงจัง หากไม่แก้ในยุคนี้ อนาคต ขสมก.คงต้องขาดทุนหนักอึ้งและไม่สามารถเชื่อขนมใครกินอีกต่อไปได้

ในที่สุด "คมนาคม" จึงได้เดินหน้าแผนปรับแก้หนี้และทำแผนฟื้นฟูหนี้ของ ขสมก.จำนวน 1.2 แสนล้านบาท

ล่าสุด นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ครม.มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านบุคลลากรและการเดินรถ แก้ปัญหาหนี้สินสะสมของ ขสมก.ประมาณ 1.18 แสนล้านบาท ซึ่งการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟู จะทำให้ ขสมก.หารายได้เลี้ยงตัวเองและกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) ในปี 2566

***เปิดแผนฟื้นฟู ขสมก.

สำหรับแผนฟื้นฟู ขสมก.ประกอบด้วย การจัดหารถใหม่ 3,000 คัน วงเงิน 2.12 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนที่จะเสนอ ครม.ทบทวนมติเดิมที่ให้จัดหารถจำนวน 3,183 คัน วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท เป็นจำนวน 3,000 คัน ประกอบด้วย 1. รถเมล์ NGV จำนวน 489 คัน วงเงิน 1.89 พันล้านบาท จัดหาแล้ว

นอกจากนี้ ปรับปรุงระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบ E-Ticket ชำระค่าโดยสารด้วย QR-Code, ติดตั้งระบบ GPS, ให้บริการไวไฟบนรถ เป็นต้น, ปรับปรุงเส้นทางเดินรถ ขสมก.ตามแผนปฏิรูปรถเมล์ ให้ ขสมก.รับผิดชอบ 137 เส้นทาง, ปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ลดค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน เช่น โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ลดอัตราพนักงานต่อรถ 1 คันจาก 5.14 คน เป็น 2.75 คน, เพิ่มรายได้จากธุรกิจ TOD จากการพัฒนาพื้นที่อู่บางเขน และอู่มีนบุรี และลดค่าใช้จ่ายด้านซ่อมบำรุงและค่าเชื้อเพลิง

ส่วนหนี้สินเกือบ 2 แสนล้านบาทนั้น ขสมก.จะต้องหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาแยกหนี้ที่เกิดจากนโยบาย ซึ่งมีประมาณ 80% และหนี้จากประสิทธิภาพการทำงานเพื่อพิจารณาในการยกหนี้บางส่วนและการปรับปรุงคุณภาพบริการ จะทำให้สามารถปรับค่าโดยสารให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงต่อไป

***เดินหน้าแผนรถ NGV ปี 2562

นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการ ผอ.ขสมก.กล่าวว่า แผนจัดหารถใหม่ในปี 2562 จะเป็นการปรับปรุงสภาพรถโดยสาร NGV (เดิม) จำนวน 323 คัน วงเงิน 138.5 ล้านบาท ซึ่งประมูลหาผู้รับจ้างแล้ว หาก ครม.ทบทวนมติเดิมจะเซ็นสัญญาเริ่มงานในเดือน ต.ค. 62 ใช้เวลา 1 ปี นอกจากนี้จะติดตั้งฟรีไวไฟ และเริ่มรับใบอนุญาตเดินรถ 137 เส้นทางตามแผนปฏิรูป

ปี 2563 ช่วงเดือน มิ.ย. เริ่มแผนจัดซื้อรถไฟฟ้า (EV) จำนวน 35 คัน พร้อมสถานีเติมก๊าซ วงเงิน 466.94 ล้านบาท, เช่ารถโดยสารใหม่ 700 คัน วงเงินรวม 7,000 ล้านบาท (เช่ารถไฮบริด 400 คัน วงเงิน 4,800 ล้านบาท, เช่ารถ NGV 300 คัน วงเงิน 2,200 ล้านบาท) โดยขณะนี้ได้จัดทำร่าง TOR คู่ขนานไว้แล้ว ส่วน ปี 2564 จัดซื้อรถโดยสารไฮบริด จำนวน 700 คัน และปี 2565 จัดซื้อรถโดยสารไฮบริด จำนวน 753 คัน

ทั้งนี้ ตามแผนเมื่อมีรถใหม่เข้ามาให้บริการ จำเป็นจะต้องปรับค่าโดยสารให้สอดคล้องกับต้นทุน ซึ่งตั้งเป้าว่าในปี 2567 จะมีการปรับขึ้นประมาณ 1 บาท

ส่วนโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (แบบสมัครใจ) จะใช้งบ 6,000 ล้านบาท มีเป้าหมายลดพนักงานจาก 13,599 คนในปัจจุบันเหลือ 7,949 คน โดยในปี 63 เปิดเออร์รี่ฯ 655 คน ปี 64 จำนวน 2,198 คน และปี 65 จำนวน 2,198 คน

อย่างไรก็ตาม แผนการฟื้นฟูครั้งนี้จะช่วยต่อลมหายใจของ ขสมก.ให้เดินหน้าไปได้อีกยาว เพราะมีการศึกษาวิจัยของหลายสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่ได้ศึกษาปัญหาการขาดทุนของ ขสมก.ถึงกิจการบริการสาธารณะของรัฐที่ไม่มุ่งเน้นผลกำไร แต่เน้นเรื่องการให้บริการ ทำให้ไม่เกิดความชัดเจนในการวางแผนงาน นอกจากนี้ หากรัฐสนับสนุนการเงินให้เพียงพอต่อการดำเนินการ มีการควบคุมราคาค่าโดยสารให้เหมาะสมและกำไรก็จะทำให้สามารถลดการขาดทุนสะสมได้





ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องการให้บริการของ ขสมก.ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งปรับปรุงการให้บริการ และในอนาคต หาก ขสมก.ยังไม่มีการปรับตัวให้สามารถแข่งขันกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่มีเครือข่ายขยายกว้างขึ้น รวดเร็วทันสมัย และตรงเวลา ทำให้ผู้ใช้บริการหันมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น นี่จึงเป็นปัญหาที่ ขสมก.ต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ เรียกว่าต้องยกเครื่องใหม่ทั้งระบบ ทั้งด้านบริการ เส้นทางเดินรถ การประกอบการที่เป็นระบบ และมีสิทธิภาพ รวมถึงต้นทุนบุคลากรที่สูงแต่ขาดประสิทธิภาพ และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนเหล่านี้


ดังนั้น หลังจากที่ ครม.ไฟเขียวการยกเครื่อง ขสมก.ครั้งใหญ่นี้แล้ว จึงต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงของ ขสมก.ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดต่อไป จะวิ่งฉิวหรือพลิกคว่ำ ขึ้นอยู่กับเจ้ากระทรวงคมนาคมที่จะมาเป็นพลขับเพื่อนำพา ขสมก.สู่เป้าหมายต่อไป







***ย้อนรอยซื้อรถเมล์เอ็นจีวีในยุค คสช. ฟัดกันเดือด 2 บ.เอกชนชิงผลประโยชน์




หากย้อนรอยไปดู บริษัท ช.ทวี ชนะการประมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 แต่เบสท์รินยื่นหนังสือคัดค้านว่า การประมูล/ไม่โปร่งใส โดยยื่นหนังสือต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมาธิการคมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งได้เสนอว่า ขสมก.ควรปรับปรุงเงื่อนไขการประมูล เปิดช่องให้บอร์ด ขสมก.มีมติยกเลิกการประมูล


เบสท์รินซึ่งวิ่งเต้นจนล้มการประมูลที่ตนเองเป็นผู้แพ้ได้สำเร็จ ชนะการประมูลครั้งใหม่เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2559 มีการเซ็นสัญญากับ ขสมก.ในเดือนตุลาคม และกำหนดว่า จะนำรถเมล์เอ็นจีวีใหม่ 100 คันจากทั้งหมด 489 คัน ส่งมอบให้ ขสมก.ในเดือนธันวาคม เพื่อให้บริการเป็นของขวัญปีใหม่ 2550 สำหรับคน กทม.


ในครั้งนั้นมีกำหนดการไว้แล้วว่า วันที่ 21 ธันวาคม จะนำรถใหม่ไปรับพล.อ.ประยุทธ์ และ ครม.จากทำเนียบรัฐบาลไปสถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นปฐมฤกษ์ แต่อ้อยยังไม่ทันจะเข้าปากช้าง รถเมล์เอ็นจีวียี่ห้อซันลองจากประเทศจีน 100 คัน ที่เบสท์รินนำเข้าจากมาเลเซียมาไว้ที่ท่าเรือแหลมฉบัง รอส่งมอบให้ ขสมก.ถูกเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรอายัดไว้ เพราะตรวจพบว่าเป็นรถสำเร็จรูปที่ขนจากจีนมาพักไว้ที่มาเลเซีย ไม่ใช่รถที่ประกอบในมาเลเซีย ตามที่แจ้งกรมศุลกากรเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าจากจีน 40% เพราะถ้าเป็นรถที่ประกอบในมาเลเซีย ไม่ต้องเสียภาษีตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาฟต้า


เบสท์รินไม่สามารถส่งมอบรถให้ ขสมก.ตามกำหนด จึงถูกยกเลิกสัญญา แต่กว่าจะยกเลิกได้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.เด้งนายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผอ.ขสมก.พ้นจากตำแหน่ง เพราะไม่ยอมเลิกสัญญาและไม่ตัดสินใจว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร


หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงวาระเปลี่ยนบอร์ด พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ซึ่งเป็นประธานบอร์ดมาตั้งแต่ ปี 2557 และบอร์เดิมถูกโละยกชุด โดยมีการแต่งตั้งนายณัฐชาติ จารุจินดา อดีตผู้บริหาร ปตท.เป็นประธานบอร์ด เพื่อให้เข้ามาขับเคลื่อนโครงการรถเมล์เอ็นจีวี


การประมูลครั้งใหม่มีขึ้น และครั้งนี้ ช.ทวีกลับมาอีก ส่วนเบสท์รินถูกแบล็กลิสต์ที่ส่งมอบรถไม่ได้ จึงไม่ได้เข้าประมูล


ต่อมาบริษัท ช.ทวีส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวีให้ ขสมก.ก่อน 100 คัน และกำหนดส่งมอบที่เหลือภายในเดือนมิถุนายน แต่แล้วก็มีมือดีไปฟ้องศาลปกครอง ว่า มติบอร์ด ขสมก.ที่เห็นชอบให้ทำสัญญาซื้อรถ 489 คันจาก ช.ทวีไม่ชอบธรรม ขอให้ศาลเพิกถอนมติ และคุ้มครองชั่วคราว ชะลอการรับมอบรถจาก ช.ทวีซึ่งศาลปกครองมีมติเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ให้การคุ้มครองชั่วคราว


โครงการรถเมล์เอ็นจีวีที่ผ่านมา 5 รัฐบาลก็ยังไม่ได้เกิด ทำท่าว่าจะทำลายสถิติใช้นายกรัฐมนตรีเปลืองที่สุด เพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์กำลังนับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่แล้วศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกฟ้องกลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง ด้วยเหตุผลว่า บริษัท สยามสแตนดาร์ด ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดี ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว


คำสั่งศาลปกครองสูงสุดนี้เป็นที่สิ้นสุด ทำให้ ช.ทวีส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวีที่เหลืออีก 389 คันให้ ขสมก.นำออกบริการชาว กทม.ในสิ้นปีนี้ เพิ่มเติมจากรถ 100 คันแรก ที่ส่งมอบเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา


มหากาพย์รถเมล์เอ็นจีวีที่ยืดเยื้อข้ามทศวรรษ ถูกทำลายอาถรรพ์ลงในยุค คสช. เป็นเรื่องที่ดูแล้ว ก็สะท้อนใจว่า แค่ซื้อรถเมล์ใหม่มาทดแทนรถเดิมที่ใช้มายี่สิบสามสิบปี ยังต้องใช้เวลาถึง 10 ปี อีกกี่ชาติถึงจะปฏิรูปรถเมล์ทั้งระบบได้





กำลังโหลดความคิดเห็น