ส่งออกมันสำปะหลังเฉียดแสนล้านส่อวิกฤต เกษตรกรและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอีกเป็นจำนวนมากเตรียมซวยซ้ำ หลังโรคใบด่างในมันสำปะหลังระบาดรุนแรงจากชายแดนกระจายเข้าพื้นที่เพาะปลูกภาคกลาง หวั่นคุมไม่ได้เจ๊งกันหมด อึ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมินสั่งทำลายทิ้งทั้งที่มีมาตรการชดเชยไร่ละ 3 พัน แถมไม่คุมนำเข้า “พาณิชย์” คาดแนวโน้มราคาปีนี้ดีแน่แต่ไม่มีของขายก็ไร้ประโยชน์ จ่อถูกอินเดียแย่งตลาด ด้าน นบมส.คนคุมนโยบายยังเงียบกริบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้รับรายงานจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่ที่ปลูกมันสำปะหลังเข้ามาอย่างต่อเนื่องว่าการระบาดของโรคใบด่างในมันสำปะหลังเริ่มมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดที่ติดกับประเทศกัมพูชา เช่น สระแก้ว ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ และเริ่มที่จะขยายวงกว้างเข้ามายังพื้นที่ด้านในประเทศ เช่น จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ บางอำเภอในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญ และเริ่มที่จะขยายวงเข้าสู่จังหวัดในภาคกลาง ทั้งลพบุรี และสระบุรี เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ หากไม่สามารถสกัดหรือป้องกันได้ก็อาจจะลุกลามเข้าสู่จังหวัดที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั้งประเทศ และจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตมันสำปะหลังฤดูการผลิตปี 2562/63 ทำให้ผลผลิตลดลง ไทยก็จะไม่มีมันสำปะหลังเพื่อนำไปผลิตเป็นมันเส้นและแป้งมันเพื่อการส่งออก ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกมันสำปะหลังของไทยในที่สุด โดยในปี 2561 ที่ผ่านมาไทยส่งออกมันสำปะหลังได้มูลค่าประมาณ 9.96 หมื่นล้านบาท และยังจะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่จะไม่มีรายได้ รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ทั้งอุตสาหกรรมสิ่งทอ ไม้อัด กระดาษ กาว อาหารและเครื่องดื่ม สารให้ความหวาน ผงชูรส ส่วนผสมในการทำยา การผลิตเอทานอล และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์โดยคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ได้มีมติให้ดำเนินมาตรการทำลายต้นมันสำปะหลังที่ติดโรคใบด่างทิ้ง และจะจ่ายชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังไร่ละ 3,000 บาท หรือกิโลกรัม (กก.) ละ 1 บาท คิดจากผลผลิตต่อไร่ที่ 3,000 กก. เพื่อสกัดการลุกลามของโรค แต่ผลการดำเนินการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย มีการปล่อยปละละเลย และไม่จัดการขั้นเด็ดขาด ทำให้โรคระบาดเพิ่มขึ้นและกระจายตัวมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังพบว่าการดูแลมันสำปะหลังที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เวียดนาม ที่กำหนดให้มีการควบคุมการนำเข้าท่อนพันธุ์ และหัวมันสำปะหลังที่ด่านนำเข้า โดยต้องตรวจสอบโรคพืชอย่างละเอียด และเมื่อขนส่งมันสำปะหลังไปถึงปลายทางให้มีการตรวจสอบซ้ำอีก แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวด ทำให้มีท่อนพันธุ์ที่ติดโรคเข้ามา ขณะที่กรมการค้าภายในที่มีหน้าที่ต้องเข้มงวดการขนย้ายในจังหวัดชายแดน การขนย้ายข้ามจังหวัดก็ดูแลไม่เต็มที่
ทั้งนี้ จากสถานการณ์การเกิดโรคใบด่างในมันสำปะหลังดังกล่าวได้ส่งผลให้ราคาหัวมันสำปะหลังสดทรงตัวอยู่ในระดับ 2.10-2.45 บาทต่อ กก. และหากความรุนแรงของโรคทำให้ผลผลิตเสียหายต่อเนื่องอาจจะทำให้แนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น แต่เกษตรกรก็ไม่มีผลผลิตจะขาย และเมื่อผลผลิตน้อยลงจะกระทบต่อถึงการส่งออก และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตามที่กล่าวมาแล้ว โดยจากนี้ไปหากยังแก้ไขไม่ได้จะทำให้ไทยเสี่ยงที่จะถูกแย่งชิงตลาด โดยเฉพาะอินเดียที่มีการเพาะปลูกมันสำปะหลังมาก และสามารถจัดการกับโรคใบด่างได้เป็นผลสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินมาตรการป้องกัน นบมส.ที่มี รมว.พาณิชย์เป็นประธาน ได้ประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย. 2561 และจนถึงบัดนี้ยังไม่มีการประชุมเพิ่มเติม ทั้งๆ ที่ควรจะเรียกประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์ และพิจารณาแนวทางรับมือ เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเกิดโรคใบด่างในมันสำปะหลัง