กทพ.ทบทวนแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนใหม่ หลังแผนเดิมมีปัญหาทำไม่ได้จริง ยอมรับรายได้ลดหลังเรียกคืนพื้นที่หลายจุด ยันเน้นบริการสาธารณะเป็นหลัก ด้าน BEM ขอสิทธิประโยชน์เสาทางด่วน 3 โครงการกรณีขยายสัญญา 30 ปีเพื่อสะดวกในการดูแลซ่อมบำรุง
นายสุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำการแทนผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า จากการเจรจาขยายสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน A, B, C), ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D และโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (C บวก) ในการขยายสัมปทานโครงการออกไปอีก 30 ปี เพื่อคดีข้อพิพาทระหว่าง กทพ. กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM นั้น ในส่วนของพื้นที่ใต้ทางด่วนทั้งหมดยังคงเป็นของ กทพ.เหมือนเดิม โดย BEM ขอสิทธิ์ในส่วนของโครงสร้างเสาทางด่วน เนื่องจากถือเป็นองค์ประกอบในการให้บริการและการได้สิทธิ์ดูแล จะทำให้สะดวกในการซ่อมบำรุง
ทั้งนี้ หาก BEM ต้องการดำเนินการกิจกรรมอื่นๆ กับเสาทางด่วน เช่น ติดป้ายโฆษณา จะต้องปฏิบัติตามระเบียบและเงื่อนไขที่กำหนดและขออนุมัติจาก กทพ.ก่อน ซึ่งเสาแต่ละต้น แต่ละด้าน มีมูลค่าทางธุรกิจไม่เท่ากัน ขึ้นกับจำนวนผู้ที่จะมองเห็น และในอนาคตหาก กทพ.มีการพัฒนาเชิงพาณิชย์พื้นที่ใต้ทางด่วน ซึ่งจะมีประชาชนมองเห็นป้านโฆษณามากขึ้น จะยิ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเสาทางด่วนอีกด้วย
ส่วนการพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนของ กทพ.นั้น เคยมีการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษไว้แล้วแต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ปัจจุบัน กทพ.ได้จ้างที่ปรึกษาศึกษาทบทวนแผนใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันและให้มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจ
โดยผลการศึกษาก่อนหน้านี้มีแผนทำเส้นทางจักรยานใต้ทางด่วนตั้งแต่รามอินทรา-พระราม 9 ซึ่งพบว่ามีปัญหาจุดตัดถนนที่จะต้องก่อสร้างสะพานให้จักรยานข้าม ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งไม่คุ้มค่า หรือการพัฒนาเป็นโรงแรมพื้นที่ใต้สะพานพระราม 9 ซึ่งไม่สามารถทำได้ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 9 บางส่วนต้องใช้สำหรับการก่อสร้างทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-ถนนวงแหวนรอบนอก
นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาในรูปแบบ Rest Area ใกล้ด่านจตุโชติ รามอินทรา ใกล้มอเตอร์เวย์สาย 9 เพื่อใช้เป็นที่จอดพักรถ และสถานีบริการน้ำมัน โดยร่วมมือกับกรมทางหลวงให้มีการเชื่อมรถจากมอเตอร์เวย์ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน แต่การหารือไม่คืบหน้า, พัฒนาพื้นที่บริเวณด่านบางโปร่ง ถนนกาญจนาภิเษก (ใกล้ช้างสามเศียร) แต่ต้องลงทุนก่อสร้างทางขึ้นลง ทั้งขาเข้า และขาออก วงเงินประมาณ 280 ล้านบาท ซึ่งไม่คุ้มค่า เป็นต้น
ปัจจุบัน กทพ.มีรายได้จากการพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนลดลงเหลือประมาณ 200 กว่าล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเรียกคืนพื้นที่เพื่อเตรียมก่อสร้างทางด่วนสายใหม่ ทั้งนี้ แม้ว่าการพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ กทพ. แต่ไม่ได้เป็นภารกิจหลัก ขณะที่พื้นที่ใต้ทางด่วน ตาม พ.ร.บ.การทางฯ จะเน้นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น ทำเป็นทางลัด สวนสาธารณะ หรือเป็นการเยียวยาสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้าง เป็นต้น
“ภายในปีนี้จะสรุปการศึกษาและเห็นภาพการพัฒนาแต่ละจุดที่ชัดเจนมากขึ้น เป้าหมายพื้นที่ใต้ทางด่วนเชิงพาณิชย์ ต้องศึกษาว่าจะทำอะไรจึงเหมาะสมและเป็นไปได้หรือไม่ โดยยังคงมุ่งเน้นเป็นพื้นที่สำหรับสาธารณประโยชน์ในฐานะเป็นหน่วยงานบริการ ในขณะเดียวกัน กทพ.จะเจรจากับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อตกลงในการประเมินตัวชี้วัด (KPI) ของ กทพ.ใหม่ ว่ากรณีที่ใช้พื้นที่ใต้ทางด่วนเพื่อบริการสาธารณะเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีรายได้ ควรประเมิน KPI ให้ กทพ.เพิ่มด้วย ไม่ใช่มองที่ตัวเลขรายได้จากผลประกอบการอย่างเดียว”