xs
xsm
sm
md
lg

กรมเจรจาฯ คัดสุดยอด SMEs จำนวน 5 ทีมในโครงการประกวดแผนธุรกิจ ก่อนให้รางวัลพาดูงานที่จีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเตรียมตัดสินโครงการประกวดแผนธุรกิจ DTN Business Plan Award 2019 ในวันที่ 13 พ.ค.นี้ หลังเหลือผู้เข้ารอบ 15 ทีมจาก 131 ทีม ตั้งเป้าคัดสุดยอดเพียง 5 ทีม ก่อนพาไปชมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่จีนเพื่อให้ได้ประสบการณ์จริง พร้อมแนะ SMEs ไทยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเออาเซียน-จีน ส่งสินค้าไทยเจาะตลาดจีน ล่าสุดขอให้จับตาจีนลดภาษีและเปิดตลาดเพิ่ม

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดโครงการประกวดแผนธุรกิจปี 2562 หรือ DTN Business Plan Award 2019 ว่า โครงการนี้มีผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 131 ทีม และกรมฯ ได้คัดเลือกเหลือ 15 ทีม เพื่อเข้าอบรมบูทแคมป์ “เทคนิคการรุกตลาดจีนให้รวยด้วยเอฟทีเอ” ระหว่างวันที่ 25-27 เม.ย. 2562 ที่ผ่านมา ณ จังหวัดปราจีนบุรี โดยได้เชิญวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญมาให้ความรู้ในด้านต่างๆ เช่น การวางแผนกลยุทธ์การตลาดในจีน พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดจีน การตลาดดิจิทัลในจีน และเทคนิคการนำเสนอแผนธุรกิจในการส่งสินค้าไปขายที่จีน เป็นต้น

จากนี้กรมฯ จะจัดประกวด pitching นำเสนอแผนธุรกิจของ SMEs ทั้ง 15 ทีม ในวันที่ 13 พ.ค. 2562 เพื่อคัดเลือกผู้ชนะให้เหลือ 5 ทีม และจะนำผู้ชนะทั้ง 5 ทีมไปเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างประเทศ (China Shanghai International Catering Food & Beverage Exhibition) ในช่วงเดือนมิ.ย. 2562 ณ นครเซี่ยงไฮ้ เพื่อให้ SMEs ไทยได้ประสบการณ์ตรงในการทำธุรกิจและมีโอกาสในการจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการของจีน

นางอรมนกล่าวว่า ตลาดจีนเป็นตลาดที่สำคัญของไทย โดยนับตั้งแต่ความตกลงเอฟทีเออาเซียน-จีนมีผลใช้บังคับเมื่อปี 2548 ได้ส่งผลให้การค้าระหว่างไทยกับจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 มีมูลค่า 80,136 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 294.3% จากปี 2548 ที่เอฟทีเอเริ่มใช้บังคับ และเพิ่มขึ้น 8.7% จากปี 2560 โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปจีน 30,175.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนำเข้าจากจีน 49,961 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังพบว่าไทยและจีนได้ทยอยลดเลิกภาษีศุลกากรระหว่างกันมาเป็นลำดับ เริ่มจากยกเลิกภาษีศุลกากรที่เก็บกับสินค้าผักและผลไม้นำเข้าเมื่อต้นปี 2549 และล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2561 ได้ลดภาษีศุลกากรสินค้าล็อตสุดท้ายให้เหลือ 0-5% เช่น สับปะรดแปรรูป โพลีเอสเตอร์ แป้งข้าวเจ้า ปลายข้าว เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น

“ขอแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเออาเซียน-จีนในการเจาะเข้าสู่ตลาดจีน แต่จะต้องเน้นพัฒนาคุณภาพสินค้าและสร้างความแตกต่างเพื่อให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น ทั้งเมืองที่เป็นตลาดเดิม หรือขยายสู่เมืองใหม่ๆ ของจีน โดยเฉพาะมณฑลทางฝั่งตะวันตก เช่น ซินเจียง กานซู หนิงเซียะ ฉงชิ่ง และมณฑลเมืองรองที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง เช่น เหอเป่ย เหอหนาน หูเป่ย รวมทั้งหาทางใช้ช่องออนไลน์ในการเจาะเข้าสู่ตลาดด้วย” นางอรมนกล่าว

นอกจากนี้ ขอให้ผู้ประกอบการจับตาการเปิดตลาดด้วยการลดภาษีศุลกากร และการเพิ่มการนำเข้าสินค้าคุณภาพจากต่างประเทศของจีน เพราะในการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation) ที่จีนจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 เม.ย. 2562 ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้ประกาศที่จะเปิดตลาดเพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของไทยที่จะขยายการส่งออกสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาดจีน โดยต้องเตรียมความพร้อม วางแผนการทำธุรกิจ และที่สำคัญต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน และต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคจีนรู้จักสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น