xs
xsm
sm
md
lg

กรมเจรจาฯ เผยอาเซียนเดินหน้าทำระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองรูปแบบใหม่ คาดเริ่มใช้ก.ค.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ” เผยคณะอนุกรรมการด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า มีมติให้จัดทำระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนรูปแบบใหม่ ให้รวมโครงการนำร่องที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน คาดจะช่วยให้ไทยใช้สิทธิประโยชน์ด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้าได้ง่ายขึ้น ส่งผลดีต่อการส่งออกเพิ่มขึ้น ระบุจะมีผลบังคับใช้ช่วง ก.ค. 62 นี้

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการประชุมของคณะอนุกรรมการด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Inter-Sessional SC-AROO Meeting) ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าที่ประชุมได้หารือถึงการจัดทำระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN-Wide Self Certification : AWSC) โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกที่จะขึ้นทะเบียนเพื่อรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Certified Exporter : CE) สามารถเป็นได้ทั้งผู้ส่งออกและผู้ผลิต การกำหนดจำนวนผู้มีสิทธิขึ้นทะเบียน ไม่เกิน 10 คนต่อ 1 บริษัท และยังมีประเด็นที่อาเซียนต้องหารือ เช่น คุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และรูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่อนุญาตให้ประเทศผู้นำเข้าซื้อสินค้าโดยประเทศคนกลางในอาเซียนได้ ซึ่งที่ผ่านมาจะอนุญาตให้ซื้อจากประเทศผู้ผลิตและส่งตรงมายังผู้ซื้อเท่านั้น และคาดว่าจะเริ่มใช้งานในเดือน ก.ค. 2562

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยได้เข้าร่วมโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ทั้งโครงการนำร่องที่ 1 และโครงการนำร่องที่ 2 ในการส่งสินค้าไปประเทศสมาชิกอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2553 และปี 2557 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันไม่ต้องใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ในการขอใช้สิทธิพิเศษทางภาษีเพื่อส่งออกไปยังอาเซียน แต่สามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และลดความผิดพลาดในการกรอกข้อมูล Form D

โดยทั้ง 2 โครงการมีการกำหนดเงื่อนไขการใช้แตกต่างกัน โดยโครงการนำร่องที่ 1 จะให้ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตเป็นผู้รับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ขณะที่โครงการนำร่องที่ 2 จะอนุญาตเฉพาะผู้ส่งออกที่เป็นผู้ผลิตเท่านั้น จึงทำให้มีประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมแตกต่างกัน โดยสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมโครงการนำร่องที่ 1 ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา บรูไน และพม่า ในขณะที่สมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมโครงการนำร่องที่ 2 ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สปป.ลาว และเวียดนาม

“จากการดำเนินโครงการนำร่องมาระยะหนึ่ง อาเซียนเห็นว่าควรปรับประสานโครงการนำร่องทั้ง 2 โครงการเข้าด้วยกัน จึงจัดทำระบบ AWSC ขึ้น เพื่อให้อาเซียนใช้ร่วมกันทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์จากระบบดังกล่าวมากที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่เข้าร่วมโครงการนำร่องทั้ง 2 โครงการ โดยระบบ AWSC จะลดความสับสนของผู้ประกอบการ เนื่องจากที่ผ่านมา หากผู้ประกอบการไทยต้องการใช้สิทธิภายใต้โครงการนำร่องใด ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขภายใต้โครงการนำร่องนั้น” นางอรมนกล่าว

สำหรับข้อมูลสถิติการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้โครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองพบว่าไทยเป็นประเทศที่มีผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยไทยมีจำนวนผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนรวมทั้งสิ้น 316 ราย อันดับที่ 2 มาเลเซีย 188 ราย และอันดับที่ 3 สิงคโปร์ 76 ราย และในปี 2561 ตลาดส่งออกที่ไทยใช้สิทธิภายใต้โครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองสูงสุดตามลำดับ เช่น มาเลเซีย 1,724 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม 250 ล้านเหรียญสหรัฐ และสิงคโปร์ 96 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นต้น โดยสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้โครงการนำร่อง เช่น อุปกรณ์และชิ้นส่วนของเครื่องจักร ยานยนต์และชิ้นส่วน เฟอร์นิเจอร์ พลาสติก เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น


กำลังโหลดความคิดเห็น