หอการค้าไทยชี้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนทำไทยส่งออกและดึงการลงทุนได้เพิ่มขึ้น

หอการค้าไทยประเมินสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีนส่งผลบวกต่อไทย คาดมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น และจะมีการย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐฯ และจีนเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น ด้าน “พาณิชย์” เชื่อส่งผลดี ไทยจะส่งออกไปทดแทนสินค้าที่ถูกขึ้นภาษี แต่ต้องระวังการสวมสิทธิ์

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนเพิ่มขึ้น 10% มีผลในวันที่ 24 ก.ย. และจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในสิ้นปีนี้ว่า ในมุมมองของภาคเอกชนมองว่าจะเป็นผลบวกต่อไทยมากกว่า โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีความสามารถในการผลิตและแข่งขันได้ ซึ่งจะทำให้ส่งออกได้มากขึ้น และคาดว่าหลังจากนี้จะมีหลายบริษัทจากสหรัฐฯ และจีนย้ายฐานการผลิตเข้ามาไทยเพิ่มมากขึ้นเพื่อใช้ไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และจีน

“ประเมินว่ากลุ่มสินค้าไอทีและยางรถยนต์จากสหรัฐฯ และจีนจะย้ายฐานมาลงทุนไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคได้ เพราะหลังจากนี้จีนคงจะมีมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ กลับแน่ แต่อย่างไรไม่ทราบ และยังมองว่าการมีสงครามการค้าถือเป็นเรื่องดี ทำให้ไม่เกิดการฮั้วกัน เพราะหากยิ่งมีการฮั้วกันมากต้นทุนธุรกิจก็ยิ่งสูง แต่ถ้าจะปกป้องการค้ากันมากเกินไปก็ไม่ไหว” นายกลินท์กล่าว

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ไทยมีโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ทดแทนสินค้าจีนที่ถูกขึ้นภาษี และยังมีโอกาสส่งออกไปจีนในสินค้าที่จีนเก็บภาษีจากสหรัฐฯ แต่ก็ต้องระวังสินค้าที่จะมีการใช้ไทยเป็นฐานการส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้ดี ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้มีการดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรมฯ กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดกรณีที่จีนและสหรัฐฯ ได้ฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เกี่ยวกับการใช้มาตรการทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างกันอยู่ว่าเป็นการใช้มาตรการทางการค้าที่ผิดระเบียบ WTO หรือไม่ ซึ่งไทยจะขอเข้าไปรับฟังด้วย