TCEB จับมือ GMS-BC จัดงาน GMS Logistics Thailand 2018 สร้างเครือข่ายลอจิสติกส์เชื่อมอนุภูมิภาค GMS
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (มหาชน) หรือทีเส็บ ร่วมกับสมาคมผู้ขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS-FRETA) จัดงานประชุมสัมมนาระดับนานาชาติเพื่อการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านลอจิสติกส์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (1st International Conference on GMS Logistics Thailand 2018) เพื่อสร้างความร่วมมือและยกระดับความเชื่อมโยงด้านลอจิสติกส์ของ 6 ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือทีเส็บ กล่าวว่า การร่วมจัดงาน International Conference on GMS Logistics Thailand 2018 ของทีเส็บ เป็นการดำเนินตามนโยบายขององค์กรในการใช้งานประชุมและงานแสดงสินค้านานาชาติเป็นเครื่องมือทางการตลาดในการขับเคลื่อนการเติบโตของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นนโยบายในการช่วยขับเคลื่อนนโยบาย 4.0 ของภาครัฐ เนื่องจากภาคธุรกิจลอจิสติกส์คือ 1 ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ของนโยบาย 4.0 นอกจากนี้ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงถือเป็นตลาดที่ทีเส็บให้ความสำคัญและให้การสนับสนุน เพื่อให้เกิดการติดต่อและร่วมมือทางธุรกิจกับภาคธุรกิจไทย ซึ่งจะทำให้เกิดการเติบโตร่วมกันของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าการค้าของไทยและกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีมูลค่ารวมสูงถึง 3 แสนล้านบาท ในส่วนของงานแสดงสินค้านานาชาติที่ทีเส็บสนับสนุนในรอบปี 2017 มีนักธุรกิจจากกัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม เดินทางมาชมงานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 142 และจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 75 การจัดงาน International Conference on GMS Logistics Thailand 2018 จึงเป็นกลไกที่จะช่วยส่งเสริมให้ความร่วมมือทางการค้าของทั้ง 6 ประเทศมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
การจัดงานครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) ร่วมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “GMS ความสำเร็จกับการก้าวต่อไป” รวมถึงการจัดเวทีเสวนา “โอกาสการค้าชายแดนภายใต้ข้อตกลง CBTA ในกลุ่มประเทศ GMS” โดยผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กรมศุลกากร GMS-FRETA และผู้อำนวยการบริหารสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ซึ่งจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และชี้ทิศทางอนาคตของระบบลอจิสติกส์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงของทั้ง 6 ประเทศ ประกอบด้วย กัมพูชา จีน (เฉพาะมณฑลยูนนาน และเขตปกครองพิเศษกว่างซี) สปป.ลาว พม่า เวียดนาม และไทย และจะทำให้กรอบความร่วมมือมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในการพัฒนาและเชื่อมโยงเส้นทางลอจิสติกส์ที่จะเกิดประโยชน์ต่อ 3 ระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้แก่
1. แนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC) เชื่อมโยงระหว่างไทย พม่า สปป.ลาว และจีน ประกอบด้วย 3 เส้นทางย่อย ได้แก่ เส้นทาง R3A เส้นทาง R3B และ เส้นทาง R5
2. แนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) เชื่อมโยงระหว่างเวียดนาม สปป.ลาว ไทย และพม่า อาจเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างทะเลจีนใต้กับทะเลอันดามัน ประกอบด้วย 2 เส้นทางย่อย ได้แก่ เส้นทาง R12 และเส้นทาง R8
3. แนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) เชื่อมโยงระหว่างพม่า ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งเป็นเส้นทางเศรษฐกิจและท่องเที่ยวสำคัญระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมถึงเชื่อมต่อระหว่างไทยไปกับภาคกลางของเวียดนามผ่านกัมพูชา
ทั้งนี้ ช่วงปีระหว่างปี 2013-2022 คาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนราว 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 85% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมดในแผนการลงทุนโครงการความร่วมมือด้านต่างๆ ของ GMS เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับโครงข่ายเส้นทางการคมนาคม สร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างเมือง และเชื่อมโยงความร่วมมือด้านลอจิสติกส์ รวมถึงอำนวยความสะดวกเพื่อการขนส่งข้ามพรมแดน ตามโครงข่ายเส้นทางคมนาคมแนวพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Economic Corridors)
รองผู้อำนวยการสายงานธุรกิจ ทีเส็บ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากความร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จจะสามารถขยายความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ ทั้งนี้ แนวทางการพัฒนาดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ทีเส็บในการวางตำแหน่งให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงและการจัดประชุมของภูมิภาค และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ และก่อให้เกิดการกระจายรายได้สู่ภาคส่วนต่างๆ ของสังคมในทุกภูมิภาค
ด้าน นายชลัช วงศ์สงวน ประธาน GMS-FRETA (ประเทศไทย) กล่าวว่า สมาคมผู้ขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS-FRETA ในฐานะเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพด้านลอจิสติกส์และอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ GMS-FRETA จะขยายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการลอจิสติกส์ในกลุ่มประเทศ GMS ให้แข็งแกร่งมากขึ้น สามารถเปิดประตูการค้าชายแดนระหว่างกัน ลดอุปสรรคทางการค้า ทุกประเทศได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงร่วมกันพัฒนาศักยภาพของ GMS ให้เติบโตได้อย่างมั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลไทยมีนโยบายลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบลอจิสติกส์ในโครงการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development : EEC) หรือ EEC ในพื้นที่ภาคตะวันออกของไทย 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ซึ่งจะลงทุนพัฒนาสนามบิน ท่าเรือน้ำลึก รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ ซึ่งจะยกระดับขีดความสามารถด้านลอจิสติกส์ของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และกรอบแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor Development: SEC) เชื่อมโยง 4 จังหวัด คือ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยมีการวางแผนลงทุนในโครงการรถไฟทางคู่ โครงการพัฒนาถนนและถนนเลียบชายฝั่งอ่าวไทย (Thailand Riviera) โครงการปรับปรุงท่าเรือและสนามบิน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและลอจิสติกส์ ซึ่งระเบียงเศรษฐกิจทั้งสองของไทยสามารถเชื่อมต่อกับแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจของ GMS และยกระดับศักยภาพด้านลอจิสติกส์ของภูมิภาค